กันยายน 7, 2020 In คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2563-ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2563
กองผู้ช่วยฯ
	คู่กรณี
โจทก์
	พนักงานอัยการจังหวัดพัทลุง
ผู้ร้อง
	นาย ส. กับพวก
จำเลย
	นาย อ.
-
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
	ประมวลกฎหมายอาญา 
	มาตรา 288
	มาตรา 289
	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
	มาตรา 227 วรรคสอง
-
ข้อมูลย่อ
	จำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยาและมีบุตรด้วยกัน เพิ่ง
เลิกคบหากันก่อนเกิดเหตุเพียงหนึ่งเดือน ความสัมพันธ์ยังคงมีอยู่ไม่ถึงกับตัด
ขาดทีเดียว การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามหาผู้เสียหายที่ 2 ในขณะที่เพิ่งมี
ปากเสียงกัน จำเลยจึงอยู่ในสภาวะอารมณ์ขุ่นเคืองและโกรธ มากกว่าที่จะวาง
แผนหรือใคร่ครวญตรึกตรองหาวิธีทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เมื่อจำเลยเห็นผู้เสีย
หายที่ 2 บริเวณบ้านที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ จำเลยเลี้ยวรถกลับไปจอดหน้าบ้านที่
เกิดเหตุแล้วเดินเข้าไปหา ผู้เสียหายที่ 2 เห็นจำเลยก็วิ่งหนี จำเลยวิ่งตามไปใช้
อาวุธมีดที่พกติดตัวมาแทงทำร้าย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ซึ่งอยู่ใน
บริเวณเดียวกัน ได้รับอันตรายสาหัส เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า จำเลยกระทำ
ไปโดยขาดความยับยั้งชั่งใจและขาดสติด้วยคิดว่าผู้เสียหายที่ 2 ตีจากและหัน
ไปคบกับผู้เสียหายที่ 3 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตาม
สมควรว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
-
รายละเอียด
	โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 
33, 80, 91, 295, 297, 289, 364, 365, 371 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกระทำ
ด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3, 4 ริบของกลาง
	จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือ
ทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร แต่ข้อหาอื่นให้การรับว่า
ทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 จริง แต่กระทำโดยบันดาลโทสะ
	ระหว่างพิจารณา นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับ
จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อย
ละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ก่อนสืบ
พยานผู้เสียหายที่ 1 ขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่ให้จำหน่ายคำร้อง
เสียจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
	นางสาวภัทรวดี ผู้เสียหายที่ 2 โดยนายบุญเสียน ผู้แทนโดยชอบ
ธรรม ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษา
พยาบาลผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาท ค่าเสียหายต่อจิตใจที่ใบหน้าเสีย
โฉมเป็นเงิน 100,000 บาท ค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะ
ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติเป็นเงิน 54,000 บาท และค่าใช้จ่าย
อันจำเป็นอย่างอื่นเนื่องจากผู้เสียหายที่ 2 ต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเงิน 
250,000 บาท
	นายสมพรโชค ผู้เสียหายที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 13,844 บาท ค่าเสียหายที่ต้อง
ขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติเป็น
เงิน 90,000 บาท รวมเป็นเงิน 103,844 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 
ต่อปีนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
	จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
	ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 
มาตรา 288, 80, 295, 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 371 พระราชบัญญัติ
คุ้มครองผู้ถูกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง 
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็น
กระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธไปใน
เมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 
1,000 บาท ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบ
ครัว และฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายและ
โดยมีอาวุธ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลง
โทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 1 ปี 
จำเลยให้การรับสารภาพฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ
โดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร และทางนำสืบของจำเลยฐานพยายามฆ่า
ผู้อื่นและฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทา
โทษ ลดโทษฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย
และโดยไม่มีเหตุสมควรให้กึ่งหนึ่งและลดโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐาน
ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 
ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มี
เหตุสมควร คงปรับ 500 บาท ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน และ
ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น คงจำคุก 8 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 16 เดือน และปรับ 500 
บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบ
ของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 2 
เป็นเงิน 128,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องที่ 3 เป็น
เงิน 14,844 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 14,844 บาท 
นับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 3 
ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
	โจทก์อุทธรณ์
	ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 ให้ลงโทษฐาน
ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษ
หนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษ
ให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คง
จำคุก 33 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทาง
สาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น
ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 33 ปี 12 เดือน และปรับ 500 บาท 
ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 3 เป็นเงิน 23,844 บาท พร้อม
ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 23,844 บาท นับแต่วันที่ 9 
พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 3 นอกจากที่
แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
	จำเลยฎีกา
	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้
ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ผู้เสียหายที่ 2 เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดย
ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 1 คน ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเจ้าของบ้านที่
เกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 3 เป็นบุตรของผู้เสียหายที่ 1 ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง 
จำเลยเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วใช้อาวุธมีดยาว 5.5 นิ้ว ด้ามมีดยาวประมาณ 4 
นิ้ว แทงผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส 
มีบาดแผลเป็นบริเวณใบหน้าและรอบดวงตามองเห็นได้ชัดเจน ต้องเสีย
โฉมอย่างติดตัว และมีบาดแผลบริเวณแขนขวาต้องป่วยเจ็บด้วยอาการ
ทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันและเป็น
เหตุให้ผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ ในวันเกิดเหตุ
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมยึดอาวุธมีดที่จำเลยใช้ในการกระทำความ
ผิดและฝักมีดที่ตกในที่เกิดเหตุเป็นของกลาง สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไป
ในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ฐาน
กระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลา
กลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายและโดยมีอาวุธ ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น และ
คดีในส่วนแพ่งของผู้เสียหายที่ 2 คู่ความไม่อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 
มิได้แก้ไขค่าสินไหมทดแทนในส่วนของผู้เสียหายที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลย
กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยไม่อุทธรณ์ คงมีแต่โจทก์อุทธรณ์
ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม
ฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายาม
ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 
3 เป็นเงิน 23,844 บาท พร้อมดอกเบี้ย โจทก์ไม่ฎีกา คงมีแต่จำเลยฎีกา ดังนั้น 
ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและค่าสินไหมที่จำเลยต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่ 
3 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
	คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความ
ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกับผู้เสีย
หายที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยากันมาตั้งแต่ปี 2557 มีบุตรด้วยกัน 1 คน ผู้เสียหายที่ 
2 เคยถูกจำเลยทำร้ายร่างกายเป็นประจำ และผู้เสียหายที่ 2 เพิ่งเลิกคบหากับ
จำเลยก่อนเกิดเหตุเพียง 1 เดือน ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 
ยังคงมีอยู่ไม่ถึงกับตัดขาดเสียทีเดียว โดยผู้เสียหายที่ 2 เบิกความตอบทนาย
จำเลยถามค้านว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ยังพูดคุยกับจำเลยและจำเลยยืนยัน
ขอกลับมาอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งจำเลยเบิกความเจือสมเข้ามาว่า ช่วงเกิดเหตุ
จำเลยยังไม่เลิกคบหากับผู้เสียหายที่ 2 แต่ผู้เสียหายที่ 2 ขอกลับไปอยู่กับบิดา
มารดาของตน และจำเลยรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินข่าวว่าผู้เสียหายที่ 2 คบหากับ
บุคคลอื่น แสดงว่า จำเลยยังมีความผูกพันและอาลัยอาวรณ์ผู้เสียหายที่ 2 อยู่ 
ส่วนเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุที่จำเลยพูดคุยกับผู้เสียหายที่ 2 ทางเฟซบุ๊กของนาง
สาวเกียร์ นั้น จำเลยพูดคุยกับผู้เสียหายที่ 2 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะนั้นผู้
เสียหายที่ 2 ก็ยอมรับว่า จำเลยไม่รู้ว่าผู้เสียหายที่ 2 อยู่ที่ใด และผู้เสียหายที่ 2 
คบหาอยู่กับผู้เสียหายที่ 3 หรือไม่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์มีญาติซ้อน
ท้ายมาอีก 2 คน ตามหาผู้เสียหายที่ 2 ในขณะที่เพิ่งมีปากเสียงกับผู้เสียหายที่ 2 
เกี่ยวกับเรื่องทวงเงินค่าสินสอดและความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียหายที่ 2 กับ
บุคคลอื่น จำเลยจึงอยู่ในสภาวะอารมณ์ขุ่นเคืองและโกรธมากกว่าที่จะวาง
แผนหรือใคร่ครวญตรึกตรองหาวิธีทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ดังที่โจทก์ฟ้องดังจะ
เห็นได้จากพฤติการณ์ที่จำเลยขับรถผ่านบ้านที่เกิดเหตุไป แสดงว่าจำเลยไม่รู้
ว่าผู้เสียหายที่ 2 อยู่ที่บ้านที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายที่ 2 บริเวณบ้านที่
เกิดเหตุโดยบังเอิญ จำเลยจึงเลี้ยวรถกลับไปจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ แล้วเดิน
เข้าไปหาผู้เสียหายที่ 2 ในทันที ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 เมื่อเห็นจำเลยก็วิ่งหนี 
จำเลยจึงวิ่งตามไปทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 รวมทั้งผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งอยู่ในบริเวณ
เดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า จำเลยกระทำไปโดยขาดความ
ยับยั้งชั่งใจและขาดสติด้วยคิดว่าผู้เสียหายที่ 2 ตีจาก และหันไปคบกับผู้เสีย
หายที่ 3 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลย
กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ สมควรยก
ประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าจำเลย
กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็น
พ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ฎีกาข้ออื่นของจำเลย
ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
	พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้น
แต่ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของผู้เสียหายที่ 3 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาล
อุทธรณ์ภาค 9
-
(แรงรณ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์-สุรางคนา กมลละคร-รักเกียรติ วัฒนพงษ์)
องค์คณะผู้ตัดสิน

Leave a Reply