กันยายน 7, 2020 In พระราชบัญญัติ

พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534update2559

พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534update3-2559
-
	พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโอการโปรดเกล้าฯ 
ให้ประกาศว่า 
	โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า
	จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอม
ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้  
-
	มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  "พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534"  

	มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

	มาตรา 3 ให้ยกเลิก
	(1)  พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 
	(2)  พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2504 
 	บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ 
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้   ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน  

	มาตรา 4 ในพระราชบัญญัติน
	"เครื่องหมาย" ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพประดิษฐ์ ตรา ชื่อ คำ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข 
ลายมือชื่อ กลุ่มของสี รูปร่างหรือรูปทรงของวัตถุ เสียง หรือสิ่งเหล่านี้อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน
	*นิยามคำว่า “เครื่องหมาย” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559
	"เครื่องหมายการค้า" หมายความว่า เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้เป็นที่หมาย หรือเกี่ยวข้อง
กับสินค้า เพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น แตกต่างกับสินค้า
ที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น  
	"เครื่องหมายบริการ"  หมายความว่า  เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้เป็นที่หมาย หรือเกี่ยว
ข้องกับบริการ  เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายบริการนั้น  แตกต่าง
กับบริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของบุคคลอื่น
	"เครื่องหมายรับรอง"  หมายความว่า  เครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้หรือ
จะใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองเกี่ยวกับ
แหล่งกำเนิด ส่วนประกอบ วิธีการผลิต คุณภาพ หรือคุณลักษณะอื่นใดของสินค้านั้น หรือเพื่อ
รับรองเกี่ยวกับสภาพ คุณภาพ ชนิด หรือคุณลักษณะอื่นใดของบริการนั้น
	"เครื่องหมายร่วม"  หมายความว่า  เครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายบริการที่ใช้หรือ
จะใช้โดยบริษัทหรือวิสาหกิจในกลุ่มเดียวกันหรือโดยสมาชิกของสมาคม สหกรณ์ สหภาพ สมา
พันธ์ กลุ่มบุคคลหรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน  
	"ผู้ได้รับอนุญาต"  หมายความว่า  ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้จากเจ้าของ
เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการที่ได้จดทะเบียนแล้ว  ให้ใช้เครื่องหมายการค้า หรือ
เครื่องหมายบริการนั้น  
	"พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราช
บัญญัตินี้
	"นายทะเบียน"  หมายความว่า  ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนเพื่อปฏิบัติการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ 
	"อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา"
	"คณะกรรมการ"  หมายความว่า  คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า 
	"รัฐมนตรี"  หมายความว่า  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
	"ยกเลิกและแก้ไขบทนิยามคำว่า "เครื่องหมาย" และคำว่า "อธิบดี" ตามมาตรา 3 แห่ง
พ.ร.บ.  เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543
	"เพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "พนักงานเจ้าหน้าที่" ระหว่างคำว่า "ผู้ได้รับอนุญาต" และ "นาย
ทะเบียน" ตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.  เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจ
แต่งตั้งนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่น ตลอดจนออกประกาศ ทั้งนี้
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
	กฎกระทรวงและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
	*มาตรา 5 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559
	

	หมวด 1 
	เครื่องหมายการค้า 

	ส่วนที่ 1 
	การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

	มาตรา 6 เครื่องหมายการค้า อันพึงรับจดทะเบียนได้ ต้องประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้ 
	(1)  เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ
	(2)  เป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ และ
	(3)  ไม่เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่บุคคลอื่นได้
จดทะเบียนไว้แล้ว

	มาตรา 7 เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะ ได้แก่ เครื่องหมายการค้าอันมีลักษณะ
ที่ทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้านั้นทราบและเข้าใจได้ว่า สินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจาก
สินค้าอื่น
	เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นสาระสำคัญดังต่อไปนี้
ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ
	(1) ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นชื่อสกุลตามความหมายอันเข้าใจกันโดยธรรมดา
ชื่อเต็มของนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือชื่อในทางการค้าที่แสดงโดยลักษณะพิเศษและไม่เล็งถึง
ลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง
	(2) คำหรือข้อความอันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง และไม่เป็นชื่อ
ทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
	(3) คำที่ประดิษฐ์ขึ้น
	(4) ตัวหนังสือหรือตัวเลขที่ประดิษฐ์ขึ้น
	(5) กลุ่มของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ
	(6) ลายมือชื่อของผู้ขอจดทะเบียนหรือของเจ้าของเดิมของกิจการของผู้ขอจดทะเบียน หรือ
ลายมือชื่อของบุคคลอื่นโดยได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นแล้ว
	(7) ภาพของผู้ขอจดทะเบียนหรือของบุคคลอื่นโดยได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นแล้ว หรือในกรณีที่
บุคคลนั้นตายแล้วโดยได้รับอนุญาตจากบุพการี ผู้สืบสันดาน และคู่สมรสของบุคคลนั้น ถ้ามี แล้ว
	(8) ภาพที่ประดิษฐ์ขึ้น
	(9) ภาพอันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง และไม่เป็นภาพแผนที่
หรือภาพแสดงสถานที่ทางภูมิศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
	(10) รูปร่างหรือรูปทรงอันไม่เป็นลักษณะโดยธรรมชาติของสินค้านั้นเอง หรือไม่เป็นรูปร่าง
หรือรูปทรงที่จำเป็นต่อการทำงานทางเทคนิคของสินค้านั้น หรือไม่เป็นรูปร่างหรือรูปทรงที่ทำให้สินค้านั้น
มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
	(11) เสียงอันไม่ได้เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้านั้นโดยตรง หรือเสียงที่ไม่เป็นเสียง
โดยธรรมชาติของสินค้านั้น หรือเสียงที่ไม่ได้เกิดจากการทำงานของสินค้านั้น
	เครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะตามวรรคสอง (1) ถึง (11) หากได้มีการจำหน่าย เผยแพร่
หรือโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจนแพร่หลายแล้วตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
และพิสูจน์ได้ว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์นั้นแล้ว ให้ถือว่ามีลักษณะบ่งเฉพาะ
	*มาตรา 7 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 8 เครื่องหมายการค้าที่มีหรือประกอบด้วยลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ห้ามมิให้รับ
จดทะเบียน
	(1) ตราแผ่นดิน พระราชลัญจกร ลัญจกรในราชการ ตราจักรี ตราเครื่องราชอิสริยาภรณ
ตราประจำตำแหน่ง ตราประจำกระทรวง ทบวง กรม หรือตราประจำจังหวัด
	(2) ธงชาติของประเทศไทย ธงพระอิสริยยศ หรือธงราชการ
	 (3) พระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย พระปรมาภิไธยย่อ พระนามาภิไธยย่อ หรือนามพระ
ราชวงศ์
	(4) พระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือ
รัชทายาท 
	(5) ชื่อ คำ ข้อความ หรือเครื่องหมายใด อันแสดงถึงพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท 
หรือพระราชวงศ์
	(6) ธงชาติหรือเครื่องหมายประจำชาติของรัฐต่างประเทศ ธงหรือเครื่องหมายขององค์การ
ระหว่างประเทศ ตราประจำประมุขของรัฐต่างประเทศ เครื่องหมายราชการและเครื่องหมายควบ
คุมและรับรองคุณภาพสินค้าของรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ หรือชื่อและชื่อย่อ
ของรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่
ของรัฐต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศนั้น
	(7) เครื่องหมายราชการ เครื่องหมายกาชาด นามกาชาด หรือกาเจนีวา
	(8) เครื่องหมายที่เหมือนหรือคล้ายกับเหรียญ ใบสำคัญ หนังสือรับรอง ประกาศนียบัตร 
หรือเครื่องหมายอื่นใดอันได้รับเป็นรางวัลในการแสดงหรือประกวดสินค้าที่รัฐบาลไทย ส่วนราช
การ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐของประเทศไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การ
ระหว่างประเทศได้จัดให้มีขึ้น เว้นแต่ผู้ขอจดทะเบียนจะได้รับเหรียญ ใบสำคัญ  หนังสือรับรอง 
ประกาศนียบัตร หรือเครื่องหมายเช่นว่านั้น เป็นรางวัลสำหรับสินค้านั้น และใช้เป็นส่วนหนึ่งของ
เครื่องหมายการค้านั้น  แต่ทั้งนี้ ต้องระบุปีปฏิทินที่ได้รับรางวัลด้วย
	(9) เครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐ
ประศาสโนบาย
	(10) เครื่องหมายที่เหมือนกับเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพร่หลายทั่วไป ตามหลักเกณฑ์ที่
รัฐมนตรีประกาศกำหนด หรือคล้ายกับเครื่อหมายดังกล่าวจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหลงผิด
ในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม
	(11) เครื่องหมายที่คล้ายกับ (1) (2) (3) (4) (5) (6) หรือ (7)
	(12) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตรที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
	(13) เครื่องหมายอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
	"ยกเลิกและแก้ไขความในมาตรา 8 ตามมาตรา 7 แห่งพ.ร.บ.  เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 
2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 9 การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น จะขอจดทะเบียนสำหรับสินค้าเฉพาะอย่างใน
จำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกันก็ได้ แต่ต้องระบุรายการสินค้าที่ประสงค์จะได้รับความคุ้มครอง
แต่ละอย่างโดยชัดแจ้ง 
	(ยกเลิก)
	การกำหนดจำพวกสินค้า ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
	*มาตรา 9 วรรคสอง ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙

	มาตรา 10 เครื่องหมายการค้าอันพึงรับจดทะเบียนได้นั้น  ผู้ขอจดทะเบียนเพื่อเป็นเจ้าของเครื่อง
หมายการค้านั้นหรือตัวแทน ต้องมีสำนักงานหรือสถานที่ที่นายทะเบียนสามารถติดต่อได้ตั้งอยู่ใน
ประเทศไทย

	มาตรา 11 การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า  ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนด
ในกฎกระทรวง
	ในกรณีที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับ
การคุ้มครองเครื่องหมายการค้า หากคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นไปตามที่กำหนดใน
อนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศดังกล่าว ให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขอจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัตินี้
	*มาตรา 11 วรรคสอง เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543

	มาตรา 12 ในการพิจารณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ให้นายทะเบียนมีอำนาจดังต่อไปนี้
	(1)  มีหนังสือสอบถามหรือเรียกผู้ขอจดทะเบียน มาให้ถ้อยคำ หรือทำคำชี้แจงเป็นหนังสือ 
หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดเกี่ยวกับการขอจดทะเบียน เพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อประกอบการ
พิจารณาได้
	(2)  สั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนแปลเอกสารหรือหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการขอจดทะเบียนที่
เป็นภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยให้เสร็จและส่งภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควร
	(3)  เชิญบุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือความเห็น  
 	หากผู้ขอจดทะเบียนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนตาม (1) หรือ (2) โดยไม่มีเหตุ
อันสมควร ให้ถือว่าละทิ้งคำขอจดทะเบียน 

	มาตรา 13 ภายใต้บังคับมาตรา 27 ห้ามนายทะเบียนรับจดทะเบียนในกรณีที่เห็นว่า
เครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนนั้น
	(1) เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน ที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน หรือ
	(2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า
ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน ที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน
	*มาตรา 13 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 14 (ยกเลิก)
	*มาตรา 14 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 15 ถ้านายทะเบียนเห็นว่า
	(1)  ส่วนหนึ่งส่วนใดอันมิใช่สาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนรายใด
ไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม มาตรา 6 หรือ   
	(2)  การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใดไม่ชอบด้วย มาตรา 9 หรือ มาตรา 10 
หรือไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงตาม มาตรา 11     
	ให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง
ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนั้น และมีหนังสือแจ้งคำสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบโดยไม่ชักช้า
	*มาตรา 15 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 16 ถ้านายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนรายใด ทั้งเครื่องหมายหรือ
ส่วนหนึ่งส่วนใดอันเป็นสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้านั้น ไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียน
ได้ตาม มาตรา 6 ให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นและมีหนังสือ
แจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบโดยไม่ชักช้า  

	มาตรา 17 ถ้านายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนรายใด  หากพิจารณาทั้ง
เครื่องหมายแล้ว มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม มาตรา 6  แต่เครื่องหมายการค้ารายนั้น
มีส่วนหนึ่งส่วนใดหรือหลายส่วน เป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายสำหรับสินค้าบางอย่างหรือ
บางจำพวก อันไม่ควรให้ผู้ขอจดทะเบียนรายหนึ่งรายใดถือเป็นสิทธิของตนแต่ผู้เดียวก็ดี หรือมี
ลักษณะไม่บ่งเฉพาะก็ดี ให้นายทะเบียนมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
	(1) สั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนแสดงการปฏิเสธว่า ไม่ขอถือเป็นสิทธิของตนแต่ผู้เดียวในอันที่จะใช้
ส่วนดังกล่าวของเครื่องหมายการค้ารายนั้น ทั้งนี้ ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนั้น
	(2) สั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนแสดงการปฏิเสธอย่างอื่น ตามที่นายทะเบียนเห็นว่าจำเป็นต่อ
การกำหนดสิทธิจากการจดทะเบียนของเจ้าของเครื่องหมายการค้ารายนั้น ทั้งนี้ ภายในหกสิบวันนับแต่
วันที่ได้รับคำสั่งนั้น
	เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนมีอำนาจประกาศกำหนดสิ่งที่
นายทะเบียนเห็นว่า เป็นสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายสำหรับสินค้าบางอย่าง หรือบางจำพวก  
	ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งคำสั่งตามวรรคหนึ่งพร้อมด้วยเหตุผลให้ผู้ขายขอจดทะเบียน
ทราบโดยไม่ชักช้า  
	*มาตรา ๑๗ (๑)(2) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙

	มาตรา 18 ผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 15 มาตรา 16
และมาตรา 17 ต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของนายทะเบียน
คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
	ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่า คำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 15 หรือมาตรา 17
ถูกต้องแล้ว ให้ผู้ขอจดทะเบียนปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ
	ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่า คำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 15 มาตรา 16
หรือมาตรา 17 ไม่ถูกต้อง ให้นายทะเบียนดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนรายนั้นต่อไป
	*มาตรา 18 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 19 ถ้าผู้ขอจดทะเบียนมิได้อุทธรณ์ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง และมิได้ปฏิบัติ
ตามคำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 15 หรือมาตรา 17 แล้วแต่กรณี หรือถ้าผู้ขอจดทะเบียนได้อุทธรณ์
ตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แต่มิได้ปฏิบัติตามมาตรา 18 วรรคสอง ให้ถือว่าผู้ขอจดทะเบียนละทิ้ง
คำขอจดทะเบียน
	*มาตรา 19 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 20 ในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียนหลายรายต่างยื่นคำขอจดทะเบียนเพื่อเป็นเจ้าของ
เครื่องหมายการค้า ถ้านายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้าเหล่านั้นมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
ให้นายทะเบียนดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ได้ยื่นไว้เป็นรายแรก และมีหนังสือ
แจ้งคำสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนรายหลังรอการพิจารณาดำเนินการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ก่อน
	(1) เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน
ที่นายทะเบียนเห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน
	(2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกันจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของ
ของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน ที่นายทะเบียน
เห็นว่ามีลักษณะอย่างเดียวกัน
	ในกรณีที่เครื่องหมายการค้าที่ยื่นไว้เป็นรายแรกไม่ได้รับการจดทะเบียน ให้นายทะเบียนพิจารณา
ดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ได้ยื่นไว้เป็นรายถัดไป และมีหนังสือแจ้งให้ผู้ขอ
จดทะเบียนรายนั้นและรายอื่นทราบโดยไม่ชักช้า
	*มาตรา 20 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 21 ผู้ขอจดทะเบียนซึ่งเห็นว่าเครื่องหมายการค้าที่ตนขอจดทะเบียนมิได้เหมือน
หรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้ารายอื่นที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนไว้ก่อน มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียน
ตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง ต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของนายทะเบียน
ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติมาตรา 18 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	*มาตรา 21 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 22  (ยกเลิก)
	*ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 23 (ยกเลิก)
	*ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 24  (ยกเลิก)
	*ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 25 (ยกเลิก)
	*ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 26 (ยกเลิก)
	*ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 27  ในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 13 หรือมาตรา 20
วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี ถ้านายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้านั้นเป็นเครื่องหมายการค้าซึ่งต่างเจ้าของ
ต่างได้ใช้มาแล้วด้วยกันโดยสุจริต หรือมีพฤติการณ์พิเศษที่นายทะเบียนเห็นสมควรรับจดทะเบียน
นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกันดังกล่าวให้แก่เจ้าของหลายคนก็ได้
โดยจะมีเงื่อนไขและข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการใช้และเขตแห่งการใช้เครื่องหมายการค้านั้น หรือเงื่อนไข
และข้อจำกัดอื่นตามที่นายทะเบียนเห็นสมควรกำหนดด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งคำสั่ง
พร้อมด้วยเหตุผลให้ผู้ขอจดทะเบียนและเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วทราบโดยไม่ชักช้า
	ผู้ขอจดทะเบียนหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของ
นายทะเบียนตามวรรคหนึ่งต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของนายทะเบียน
	คำวินิจฉัยของคณะกรรมการตามวรรคสองให้เป็นที่สุด
	*มาตรา 27 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 28 บุคคลใดได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้นอกราชอาณาจักร ถ้ายื่นคำขอ
จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นในราชอาณาจักรภายในหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยื่นคำขอจด
ทะเบียนเครื่องหมายการค้านอกราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก บุคคลนั้นจะขอให้ถือว่าวันที่ได้ยื่นคำ
ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านอกราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก เป็นวันที่ได้ยื่นคำขอในราช
อาณาจักรก็ได้ หากบุคคลนั้นมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
	(1) มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
	(2) มีสัญชาติของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยว
กับการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย หรือ
	(3) มีสัญชาติของประเทศที่ยินยอมให้สิทธิในทำนองเดียวกันแก่บุคคลสัญชาติไทยหรือ
นิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
	(4) มีภูมิลำเนา หรือประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมอย่างจริงจังในประเทศไทย 
หรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครอง
เครื่องหมายการค้าซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
	ในกรณีที่คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ได้ยื่นเป็นครั้งแรกนอกราชอาณาจักรถูกปฏิเสธหรือผู้ยื่นคำขอ
จดทะเบียนถอนคืนหรือละทิ้งคำขอ บุคคลดังกล่าวจะขอใช้สิทธิตามวรรค
หนึ่งไม่ได้
	ในกรณีที่มีการยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ถูกปฏิเสธ หรือคำขอที่ผู้ยื่นคำขอ
จดทะเบียนถอนคืนหรือละทิ้งตามวรรคสองนอกราชอาณาจักรซ้ำอีกภายในระยะเวลาหกเดือนนับ
แต่วันที่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านอกราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก บุคคลซึ่งยื่นคำ
ขอดังกล่าวจะขอใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งได้ เมื่อ
	(1) คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามวรรคสองยังมิได้มีการขอใช้สิทธิในการระบุวันยื่นคำขอ
จดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง และ
	(2) คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามวรรคสองไม่อาจดำเนินการใดตามกฎหมาย
ว่าด้วยเครื่องหมายการค้าในประเทศที่มีการยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ต่อไป และ
	(3) การถูกปฏิเสธ ถอนคืน หรือถูกละทิ้งในครั้งแรกมิได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน
	*มาตรา 28 วรรคสาม (1)(2) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	"มาตรา 28 ทวิ  ในกรณีที่มีการนำสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าใดออกแสดงในงานแสดงสินค้า
ระหว่างประเทศที่จัดขึ้นในประเทศไทยหรือในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาหรือความตกลงระหว่าง
ประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย โดยส่วนราชการ 
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐของประเทศไทยหรือประเทศที่เป็นภาคีดังกล่าวจัดขึ้น หรือ
รัฐบาลไทยรับรองการจัดงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศนั้น  เจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว
อาจขอใช้สิทธิตามมาตรา 28 วรรคหนึ่งได้ ถ้าเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นยื่นคำขอจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าที่นำออกแสดงในงานแสดงสินค้าดังกล่าวในราชอาณาจักรภาย
ในหกเดือนนับแต่วันที่ได้นำสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวออกแสดง หรือวันที่ยื่นคำขอจด
ทะเบียนเครื่องหมายการค้าครั้งแรกนอกราชอาณาจักร แล้วแต่วันใดจะเกิดขึ้นก่อน แต่ทั้งนี้ การ
ยื่นคำขอดังกล่าวต้องไม่เป็นการขยายระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 28
	การจัดงานแสดงสินค้าที่จะถือเป็นงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศและการขอใช้สิทธิ
ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
	"เพิ่มเติมมาตรา 28 ทวิ โดยมาตรา 10 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	ส่วนที่ 2
	การรับจดทะเบียนและผลแห่งการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า  
 
	มาตรา 29 เมื่อนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นควรรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใด ให้
นายทะเบียนมีคำสั่งให้ประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้น 
	การประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียน ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 
	"ยกเลิกความในวรรคสองมาตรา 29 โดยมาตรา 11 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับ
ที่ 2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 30 เมื่อนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้ประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใด
ตาม มาตรา 29 วรรคหนึ่ง แล้ว หากปรากฏแก่นายทะเบียนในภายหลังว่า เครื่องหมายการค้า
รายนั้นไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม มาตรา 6 ก็ดี หรือการขอจดทะเบียนเครื่องหมาย
การค้ารายนั้นไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ อันจำเป็นจะต้องเพิกถอนคำสั่ง
ให้ประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นก็ดี   ถ้ายังมิได้จดทะเบียน
เครื่องหมายการค้ารายนั้น ให้นายทะเบียนมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และมีหนังสือแจ้งคำสั่ง
ให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบพร้อมด้วยเหตุผลโดยไม่ชักช้า  
	ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งเพิกถอนตามวรรคหนึ่งหลังจากที่ได้มีการประกาศโฆษณา
คำขอจดทะเบียนตาม มาตรา 29 แล้ว  ให้ประกาศโฆษณาคำสั่งเพิกถอนนั้นด้วยตามวิธีการที่
กำหนดในกฎกระทรวง  

	มาตรา 31  ผู้ขอจดทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนของนายทะเบียนตามมาตรา 30
วรรคหนึ่ง ต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของนายทะเบียน
	ในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนมิได้อุทธรณ์คำสั่งตามวรรคหนึ่ง หรือในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียน
ได้อุทธรณ์คำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว และคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่าคำสั่งของนาย
ทะเบียนถูกต้องแล้ว ให้นายทะเบียนดำเนินการเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนดังกล่าวต่อไปได้
	ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่าคำสั่งเพิกถอนของนายทะเบียนไม่ถูกต้อง ให้นาย
ทะเบียน
	 (1) ดำเนินการประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นต่อไป ใน
กรณีที่นายทะเบียนได้มีคำสั่งเพิกถอนตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง ก่อนที่จะมีประกาศโฆษณาคำขอ
จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 29
	(2) ดำเนินการประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นใหม่ ในกรณีที่ได้
มีการประกาศโฆษณาคำสั่งเพิกถอนของนายทะเบียนตามมาตรา 30 วรรคสองแล้ว
	คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการตามวรรคสองหรือวรรคสามให้เป็นที่สุด
	*มาตรา 31 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 32 ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งเพิกถอนตาม มาตรา 30 หลังจากที่ได้มีการคัดค้านตาม 
มาตรา 35 แล้ว  ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งคำสั่งเพิกถอนนั้นให้ผู้คัดค้านทราบโดยไม่ชักช้า  

	มาตรา 33 ในกรณีตามมาตรา 32 ถ้านายทะเบียนยังมิได้มีคำวินิจฉัยคำคัดค้านนั้น ให้รอการวินิจฉัย
ไว้ก่อนจนกว่าจะพ้นกำหนดเวลาการอุทธรณ์ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง หรือจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
อุทธรณ์ของคณะกรรมการตามมาตรา 31 วรรคสองหรือวรรคสาม แล้วแต่กรณี"
	ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่า คำสั่งเพิกถอนของนายทะเบียนตาม มาตรา 30 
ถูกต้องแล้ว ให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับคำคัดค้านนั้น และมีหนังสือแจ้งคำสั่งให้ผู้คัดค้านทราบ
โดยไม่ชักช้า คำสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด  
	ถ้าคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่า คำสั่งเพิกถอนของนายทะเบียนตาม มาตรา 30 
ไม่ถูกต้อง ให้นายทะเบียนดำเนินการวินิจฉัยคำคัดค้านนั้นต่อไป  
	"ยกเลิกความในวรรคหนึ่งโดยมาตรา 13 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 
2543"

	มาตรา 34 ในกรณีตาม มาตรา 32  ถ้านายทะเบียนได้มีคำวินิจฉัยคำคัดค้านนั้นแล้ว และมีการ
อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนตาม มาตรา 37 ให้นายทะเบียนแจ้งให้คณะกรรมการทราบ
และให้นำ มาตรา 33  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  

	มาตรา 35 เมื่อได้ประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใดตามมาตรา 29 แล้ว
บุคคลใดเห็นว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้น หรือเห็นว่าเครื่องหมายการค้ารายนั้น
ไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามมาตรา 6 หรือการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นไม่ถูกต้อง
ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บุคคลนั้นจะยื่นคำคัดค้านต่อนายทะเบียนก็ได้ แต่ต้องยื่นภายในหกสิบวัน
นับแต่วันประกาศโฆษณาตามมาตรา 29 พร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการคัดค้าน
 	การคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง  
	*มาตรา 35 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	 มาตรา 36 ในกรณีที่มีการคัดค้านตามมาตรา  35 ให้นายทะเบียนส่งสำเนาคำคัดค้านไปยังผู้ขอจด
ทะเบียนโดยไม่ชักช้า
	ให้ผู้ขอจดทะเบียนยื่นคำโต้แย้งคำคัดค้านตามแบบที่อธิบดีกำหนด โดยแสดงเหตุที่ตนอาศัยเป็นหลัก
ในการขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำคัดค้าน และให้นายทะเบียน
ส่งสำเนาคำโต้แย้งนั้นไปยังผู้คัดค้านโดยไม่ชักช้า
	ในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนมิได้ดำเนินการตามวรรคสอง ให้ถือว่าผู้ขอจดทะเบียนละทิ้งคำ
ขอจดทะเบียน
	ในการพิจารณาและวินิจฉัยคำคัดค้าน นายทะเบียนจะมีคำสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนและผู้คัดค้าน
มาให้ถ้อยคำ ทำคำชี้แจง หรือแสดงหลักฐานเพิ่มเติมก็ได้ หากผู้ขอจดทะเบียนหรือผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติ
ตามคำสั่งของนายทะเบียนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ให้นายทะเบียนพิจารณาและวินิจฉัย
คำคัดค้านต่อไปตามหลักฐานที่มีอยู่
	*มาตรา 36 วรรคสอง,วรรคสี่  แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 37 เมื่อนายทะเบียนได้มีคำวินิจฉัยแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยเหตุผลให้
ผู้ขอจดทะเบียนและผู้คัดค้านทราบโดยไม่ชักช้า
	ผู้ขอจดทะเบียนหรือผู้คัดค้านมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการ
ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของนายทะเบียน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์
ให้เสร็จสิ้นโดยไม่ชักช้า
	*มาตรา 37 วรรคสอง  แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 38 เมื่อคณะกรรมการได้มีคำวินิจฉัยแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยเหตุผลให้
ผู้ขอจดทะเบียนและผู้คัดค้านทราบโดยไม่ชักช้า  
	ผู้ขอจดทะเบียนหรือผู้คัดค้านมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการโดยฟ้องคดี
ต่อศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ 
	การฟ้องคดีตามวรรคสอง จะกระทำได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตาม มาตรา 37 
วรรคสอง แล้ว

	มาตรา 39 ในกรณีที่มิได้มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนภายในกำหนดเวลาตาม 
มาตรา 37 วรรคสอง หรือมิได้มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการภายในกำหนดเวลาตาม 
มาตรา 38 วรรคสอง ให้ถือว่าคำวินิจฉัยของนายทะเบียน หรือของคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี
เป็นที่สุด

	มาตรา 40 ในกรณีที่ไม่มีการคัดค้านตาม มาตรา 35 ก็ดี  หรือมีการคัดค้านตาม มาตรา 35 
แต่ได้มีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียนก็ดี ให้
นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ 
	เมื่อได้มีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้นายทะเบียนมีหนังสือ
แจ้งคำสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบ และให้ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับ
หนังสือแจ้งคำสั่ง ถ้าผู้ขอจดทะเบียนไม่ชำระค่าธรรมเนียมภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าละทิ้ง
คำขอจดทะเบียน
	การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 
	*มาตรา 40 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 41 ในกรณีที่ผู้คัดค้านตาม มาตรา 35  เป็นผู้ซึ่งได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่ตนคัดค้านนั้น  และมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาหรือ
คำสั่งถึงที่สุดว่าผู้คัดค้านมีสิทธิดีกว่าผู้ถูกคัดค้าน ถ้าเครื่องหมายการค้าที่ผู้คัดค้านขอจดทะเบียน
นั้นมีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตาม มาตรา 6 และการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น
ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น 
ตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยไม่ต้องประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมาย
การค้าของผู้คัดค้านอีก

	มาตรา 42 เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใดแล้ว ให้ถือว่าวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นวัน
ที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้น สำหรับกรณีตามมาตรา 28 หรือมาตรา 28 ทวิ ให้ถือว่า
วันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนในราชอาณาจักร เป็นวันที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้น
	"ยกเลิกและแก้ไขความในมาตรา 42 โดยมาตรา 15 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า 
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"
 
	มาตรา 43 เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ให้นายทะเบียนออกหนังสือสำคัญแสดงการ
จดทะเบียนให้แก่ผู้ขอจดทะเบียนตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง 
	ถ้าหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนชำรุดในสาระสำคัญหรือสูญหาย  เจ้าของ
เครื่องหมายการค้าจะยื่นคำขอรับใบแทนหนังสือสำคัญดังกล่าวต่อนายทะเบียนก็ได้  
	การออกใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และ
แบบที่กำหนดในกฎกระทรวง  

	มาตรา 44 ภายใต้บังคับ มาตรา 27 และ มาตรา 68   เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว 
ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า  เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้
เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้  

	มาตรา 45 เครื่องหมายการค้าอันได้จดทะเบียนไว้โดยมิได้จำกัดสีนั้น ให้ถือว่าได้จดทะเบียนไว้ทุกสี 

	มาตรา 46 บุคคลใดจะฟ้องคดี เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน 
หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิดังกล่าวไม่ได้ 
	บทบัญญัติ มาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้
จดทะเบียน ในอันที่จะฟ้องคดีบุคคลอื่นซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของ
เครื่องหมายการค้านั้น  

	มาตรา 47 การจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการขัดขวางบุคคลใดในการใช้โดยสุจริต
ซึ่งชื่อตัว ชื่อสกุล หรือชื่อสำนักงานการค้าของตนหรือของเจ้าของเดิมของกิจการของตนหรือไม่เป็น
การขัดขวางบุคคลใดในการใช้คำบรรยายโดยสุจริตซึ่งลักษณะ หรือคุณสมบัติแห่งสินค้าของตน  

	ส่วนที่ 3
	การแก้ไขเปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า  

	มาตรา 48 สิทธิในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ได้ยื่นไว้แล้ว ย่อมโอนหรือรับมรดกกันได้ 
	ในกรณีที่มีการโอนสิทธิในคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้โอนหรือผู้รับโอน แจ้งให้
นายทะเบียนทราบก่อนการจดทะเบียน   
	ในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนตาย   ให้ทายาทคนหนึ่งคนใดหรือผู้จัดการมรดกแจ้งให้
นายทะเบียนทราบก่อนการจดทะเบียน  เพื่อดำเนินการรับมรดกสิทธิในคำขอจดทะเบียนนั้นต่อไป
	การโอนหรือการรับมรดกสิทธิในคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง  

	มาตรา 49 สิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วย่อมโอนหรือรับมรดกกันได้ ทั้งนี้ จะเป็น
การโอนหรือรับมรดกพร้อมกับกิจการที่เกี่ยวกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่ก็ได้ 
	การโอนหรือรับมรดกสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่ง จะเป็นการโอนหรือรับมรดก
สำหรับสินค้าทั้งหมดหรือบางอย่างก็ได้
	*มาตรา 49 วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 50 (ยกเลิก)
	*ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 51 การโอนหรือการรับมรดกสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วต้องจดทะเบียน
ต่อนายทะเบียน 
	การขอจดทะเบียนการโอนหรือการรับมรดกสิทธิในเครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

	มาตรา 51/1 ในกรณีที่ผู้โอน ผู้รับโอน หรือผู้รับมรดกตามมาตรา 48 หรือมาตรา 49
ยื่นคำขอจดทะเบียน หรือรับโอนหรือรับมรดกสิทธิในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่นายทะเบียน
เห็นว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่ผู้นั้นได้โอน ได้รับโอน หรือได้รับมรดก ไม่ว่าจะใช้กับ
สินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกันที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ห้ามนายทะเบียนรับจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้านั้น ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติมาตรา 13 หรือมาตรา 20 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	ในกรณีที่ปรากฏต่อนายทะเบียนว่า ผู้ขอจดทะเบียน หรือผู้รับโอนหรือผู้รับมรดกสิทธิในคำขอ
จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่งได้รับความยินยอมเป็นหนังสือให้จดทะเบียนเครื่องหมาย
การค้านั้นได้ จากผู้โอน ผู้รับโอน หรือผู้รับมรดกทุกราย แล้วแต่กรณี ให้ถือว่าการขอจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมีพฤติการณ์พิเศษที่นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เหมือน
หรือคล้ายกันดังกล่าวให้แก่เจ้าของหลายรายก็ได้ ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติมาตรา 27 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	*มาตรา 51/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559
	
	มาตรา 52 เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว อาจขอให้นายทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลง
รายการการจดทะเบียนได้เฉพาะในเรื่องดังต่อไปนี้  
	(1) ยกเลิกรายการสินค้าบางอย่างที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
	(2) ชื่อ สัญชาติ ที่อยู่ และอาชีพของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นและของตัวแทน ถ้ามี
	(3) สำนักงานหรือสถานที่ที่นายทะเบียนสามารถติดต่อได้
	(4) รายการอื่นใดตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
 	การขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

	มาตรา 52/1 ในกรณีที่การขอจดทะเบียนการโอนหรือการรับมรดกสิทธิในเครื่องหมายการค้า
ไม่เป็นไปตามมาตรา 51 วรรคสอง หรือการขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการการจดทะเบียนไม่เป็นไป
ตามมาตรา 52 ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งให้ผู้ขอจดทะเบียนหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้าแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ให้ถูกต้องภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น
	หากผู้ขอจดทะเบียนหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้ามิได้ปฏิบัติตามหนังสือแจ้งของนายทะเบียน
ตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าละทิ้งคำขอจดทะเบียนการโอนหรือการรับมรดกสิทธิในเครื่องหมายการค้า
หรือคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการการจดทะเบียน แล้วแต่กรณี
	*มาตรา 52/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	ส่วนที่ 4
	การต่ออายุและการเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

	มาตรา 53 การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ให้มีอายุสิบปีนับแต่วันที่จดทะเบียนตาม มาตรา 42  
และอาจต่ออายุได้ตาม มาตรา 54  
	อายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่ง มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่าง
การดำเนินคดีทางศาลตาม มาตรา 38  ด้วย

	มาตรา 54  เจ้าของเครื่องหมายการค้าใดประสงค์จะต่ออายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ของตน ให้ยื่นคำขอต่ออายุต่อนายทะเบียนพร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุภายในสามเดือน
ก่อนวันสิ้นอายุ
	ในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้ามิได้ยื่นคำขอต่ออายุตามวรรคหนึ่ง หากประสงค์จะต่ออายุ
การจดทะเบียน ให้ยื่นคำขอต่ออายุต่อนายทะเบียนพร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุและค่าธรรมเนียม
เพิ่มร้อยละยี่สิบของค่าธรรมเนียมการต่ออายุภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นอายุการจดทะเบียน
	ในระหว่างระยะเวลาตามวรรคสอง หรือเมื่อเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้ยื่นคำขอต่ออายุ
และชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้ว แล้วแต่กรณี
ให้ถือว่าเครื่องหมายการค้านั้นยังคงจดทะเบียนอยู่จนกว่านายทะเบียนจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
	การขอต่ออายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
ในกฎกระทรวง
	*มาตรา 54 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 55 ในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าได้ยื่นคำขอต่ออายุและชำระค่าธรรมเนียม
การต่ออายุภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และนายทะเบียนเห็นว่าการขอต่ออายุ
เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงตามมาตรา 54 วรรคสี่ ให้นายทะเบียนต่ออายุ
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นอีกสิบปีนับแต่วันสิ้นอายุการจดทะเบียนเดิม หรือนับแต่วันสิ้นอายุ
การจดทะเบียนที่ได้ต่อไว้ครั้งสุดท้าย แล้วแต่กรณี
	ในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าได้ยื่นคำขอต่ออายุและชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุภายใน
กำหนดเวลาตามมาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แต่นายทะเบียนเห็นว่าการขอต่ออายุไม่เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงตามมาตรา 54 วรรคสี่ ให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้เจ้าของ
เครื่องหมายการค้านั้นดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนั้น และมีหนังสือ
แจ้งคำสั่งให้เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นทราบโดยไม่ชักช้า ถ้าเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นมิได้ปฏิบัติ
ตามคำสั่งของนายทะเบียนภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้นายทะเบียนสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมาย
การค้านั้น
	*มาตรา 55 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 56 ในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้ามิได้ยื่นคำขอต่ออายุและชำระค่าธรรมเนียม
การต่ออายุภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 54 วรรคสอง ให้ถือว่าเครื่องหมายการค้านั้นได้ถูกเพิกถอน
การจดทะเบียนแล้ว
	*มาตรา 56 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 57 เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วอาจร้องขอต่อนายทะเบียนให้สั่งเพิกถอน
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของตนเองได้ แต่ในกรณีที่มีการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า
นั้น การเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นต้องได้รับความยิน
ยอมจากผู้ได้รับอนุญาตด้วย เว้นแต่สัญญาอนุญาตดังกล่าวจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
	การขอเพิกถอนการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่
กำหนดในกฎกระทรวง  

	มาตรา 58 ในกรณีที่ปรากฏต่อนายทะเบียนว่า เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วฝ่าฝืน
หรือมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่นายทะเบียนกำหนดในการรับจดทะเบียนเครื่องหมาย
การค้านั้น  ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น

	มาตรา 59 ถ้าเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วหรือตัวแทน เลิกตั้งสำนักงานหรือ
สถานที่ที่ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทยแล้ว   ให้นายทะเบียนสั่งเพิกถอนการจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้านั้น
	ในกรณีที่นายทะเบียนมีเหตุอันควรเชื่อว่า เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว
หรือตัวแทนเลิกตั้งสำนักงานหรือสถานที่ที่ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทยแล้ว ให้นายทะเบียน
แจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นหรือตัวแทน ณ สำนักงานหรือสถานที่ที่ได้จด
ทะเบียนไว้ให้ชี้แจงเป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง
จากนายทะเบียน 
	ถ้านายทะเบียนไม่ได้รับคำตอบภายในกำหนดเวลาตามวรรคสองให้ประกาศโฆษณาว่า
จะเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น ตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 
	ถ้านายทะเบียนยังไม่ได้รับคำตอบภายในสิบห้าวันนับแต่วันประกาศโฆษณา ตาม
วรรคสาม ให้นายทะเบียนสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น

	มาตรา 60  เมื่อนายทะเบียนได้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตาม มาตรา 55 
วรรคสอง  มาตรา 58 หรือ มาตรา 59 วรรคหนึ่งแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าว พร้อมด้วย
เหตุผลให้เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นทราบโดยไม่ชักช้า 
	เจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนตามวรรคหนึ่งต่อคณะกรรมการ
ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของนายทะเบียน ถ้าไม่อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว
ให้ถือว่าคำสั่งของนายทะเบียนเป็นที่สุด
	วินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการตามวรรคสองให้เป็นที่สุด  
	*มาตรา 60 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 61 ผู้มีส่วนได้เสียหรือนายทะเบียนอาจร้องขอต่อคณะกรรมการให้สั่งเพิกถอนการจด
ทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดได้ หากแสดงได้ว่าเครื่องหมายการค้านั้นในขณะที่จดทะเบียน
	(1) มิได้เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7
	(2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8
	(3) เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน ที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน หรือ
	(4) เป็นเครื่องหมายการค้าที่คล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว
จนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า
ไม่ว่าจะใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันหรือต่างจำพวกกัน ที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
	*มาตรา 61 (3)(4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559
	
	มาตรา 62 บุคคลใดเห็นว่าเครื่องหมายการค้าใดขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน  หรือรัฐประศาสโนบาย   บุคคลนั้นอาจร้องขอต่อคณะกรรมการให้สั่งเพิกถอนการ
จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้

	มาตรา 63 ผู้มีส่วนได้เสียหรือนายทะเบียนอาจร้องขอต่อคณะกรรมการให้เพิกถอนการจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าใดได้ หากพิสูจน์ได้ว่าในขณะที่ขอจดทะเบียนเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นมิ
ได้ตั้งใจโดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้และตามความจริง
ก็ไม่มีการใช้เครื่องหมายการค้านั้นโดยสุจริตสำหรับสินค้าดังกล่าวเลย หรือในระหว่างสามปีก่อน
ที่จะมีคำร้องขอให้เพิกถอนมิได้มีการใช้เครื่องหมายการค้านั้น โดยสุจริตสำหรับสินค้าที่ได้จด
ทะเบียนไว้ ทั้งนี้เว้นแต่เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นจะพิสูจน์ได้ว่า การที่มิได้ใช้เครื่องหมายการ
ค้านั้นมีสาเหตุมาจากพฤติการณ์พิเศษในทางการค้า และมิได้มีสาเหตุมาจากความตั้งใจที่จะไม่
ใช้หรือจะละทิ้งเครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้

	มาตรา 64 เมื่อได้รับคำร้องขอตาม มาตรา 61  มาตรา 62 หรือ มาตรา 63   ให้คณะกรรมการมี
หนังสือแจ้งให้เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น และผู้ได้รับอนุญาต (ถ้ามี) ทราบเพื่อยื่นคำชี้แจง
ของตน คำชี้แจงดังกล่าวให้ยื่นต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจาก
คณะกรรมการ

	มาตรา 65 เมื่อคณะกรรมการได้มีคำสั่งเพิกถอนหรือไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ตาม มาตรา 61  มาตรา 62 หรือ มาตรา 63 ให้มีหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าว พร้อมด้วยเหตุผล
ให้ผู้ร้องขอให้เพิกถอน เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นและผู้ได้รับอนุญาต ถ้ามี ทราบโดยไม่ชักช้า  
	ผู้ร้องขอให้เพิกถอน เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น หรือผู้ได้รับอนุญาตมีสิทธิอุทธรณ์
คำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง ต่อศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่ง
ของคณะกรรมการ  ถ้าไม่อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว  ให้ถือว่าคำสั่งของคณะกรรมการ
เป็นที่สุด

	 มาตรา 66 ผู้มีส่วนได้เสียหรือนายทะเบียนอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่อง
หมายการค้าใดได้ หากแสดงได้ว่าในขณะที่ร้องขอนั้นเครื่องหมายการค้านั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ใช้
กันสามัญในการค้าขายสำหรับสินค้าบางอย่างหรือบางจำพวกจนกระทั่งในวงการค้าหรือใน
สายตาของสาธารณชน  เครื่องหมายการค้านั้นได้สูญเสียความหมายของการเป็นเครื่องหมายการ
ค้าไปแล้ว  
 
	มาตรา 67 ภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตาม 
มาตรา 40  ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น
ได้   หากแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ
เครื่องหมายการค้านั้น  
	ถ้าผู้ร้องแสดงได้แต่เพียงว่า ตนมีสิทธิดีกว่าเฉพาะสินค้าบางอย่างในจำพวกของสินค้า
ที่ได้จดทะเบียนไว้ ให้ศาลมีคำสั่งจำกัดสิทธิแห่งการจดทะเบียนให้อยู่เฉพาะสินค้าที่ผู้ร้องไม่ได้
แสดงว่าตนมีสิทธิดีกว่า  

	ส่วนที่ 5 
	การขออนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า

	มาตรา 68 เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้วจะทำสัญญาอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้
เครื่องหมายการค้าของตน สำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ทั้งหมด หรือบางอย่างก็ได้
	สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่ง ต้องทำเป็นหนังสือ  และ
จดทะเบียนต่อนายทะเบียน 
	การขอจดทะเบียนสัญญาอนุญาตดังกล่าวตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ
วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่คำขอจดทะเบียนนั้นอย่างน้อยต้องแสดงรายการดังต่อไปนี้
	(1)  เงื่อนไขหรือข้อกำหนดระหว่างเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น และผู้ขอจดทะเบียน
เป็นผู้ได้รับอนุญาตที่จะทำให้เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้า
ของผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ได้รับอนุญาตได้อย่างแท้จริง  
	(2)  สินค้าที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้น

	มาตรา 69 ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าตาม มาตรา 68 
จะไม่เป็นการทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิด และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ
ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย ให้นายทะเบียนมีคำสั่งรับจดทะเบียนสัญญา
อนุญาตดังกล่าวโดยจะมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใดเพื่อประโยชน์ดังกล่าวก็ได้ แต่ถ้านายทะเบียน
เห็นว่าสัญญาอนุญาตดังกล่าวจะเป็นการทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิด หรือเป็นการขัดต่อ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย ให้นายทะเบียนมีคำ
สั่งไม่รับจดทะเบียนสัญญาอนุญาตดังกล่าว 
	เมื่อนายทะเบียนได้มีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งคำสั่ง
ให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าและผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ได้รับอนุญาตทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่
นายทะเบียนได้มีคำสั่งรับจดทะเบียนโดยมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัด  หรือมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน
ให้แจ้งเหตุผลให้บุคคลดังกล่าวทราบด้วย
	เจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ได้รับอนุญาต มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของ
นายทะเบียนตามวรรคหนึ่งต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของนายทะเบียน
ถ้าไม่อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าคำสั่งของนายทะเบียนเป็นที่สุด
	คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการตามวรรคสามให้เป็นที่สุด  
	*มาตรา 69 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 70 การใช้เครื่องหมายการค้าโดยผู้ได้รับอนุญาตสำหรับสินค้า ในการประกอบธุรกิจของตน
ตามที่ได้รับอนุญาตไว้  ให้ถือว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้า โดยเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น

	มาตรา 71 เจ้าของเครื่องหมายการค้าและผู้ได้รับอนุญาตอาจร่วมกันร้องขอต่อนายทะเบียนให้แก้ไข
เปลี่ยนแปลงรายการการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าในส่วนที่เกี่ยวกับ
สินค้าที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้น หรือในส่วนที่เกี่ยวกับเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่
เจ้าของเครื่องหมายการค้าได้กำหนดไว้ในสัญญาอนุญาตดังกล่าวได้ และให้นำ มาตรา 69 มาใช้
บังคับโดยอนุโลม  
	การขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็น
ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 

	มาตรา 72 เจ้าของเครื่องหมายการค้าและผู้ได้รับอนุญาตอาจร่วมกันร้องขอต่อนายทะเบียนให้สั่ง
เพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าได้ 
	เจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือผู้ได้รับอนุญาตฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจร้องขอต่อนายทะเบียน
ให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้า   หากแสดงได้ว่าสัญญา
อนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว  
	ผู้มีส่วนได้เสียหรือนายทะเบียนอาจร้องขอแต่คณะกรรมการให้สั่งเพิกถอนการ
จดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าได้ หากแสดงได้ว่า  
	(1)  การใช้เครื่องหมายการค้าโดยผู้ได้รับอนุญาตนั้นทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิด
หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย หรือ
	(2)  เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นไม่อาจควบคุมคุณภาพของสินค้าที่ใช้เครื่องหมาย
การค้านั้นได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป
	การขอเพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 
 
	มาตรา 73 เมื่อได้รับคำร้องขอตาม มาตรา 72 วรรคสองหรือวรรคสาม   ให้นายทะเบียนหรือคณะ
กรรมการ แล้วแต่กรณี มีหนังสือแจ้งให้เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น  หรือผู้ได้รับอนุญาต แล้วแต่
กรณีทราบ เพื่อยื่นคำชี้แจงของตนภายในเวลาที่กำหนด  แต่ต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวันและไม่เกิน
หกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากนายทะเบียน  หรือคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี 
	ในการพิจารณาคำร้องขอตาม มาตรา 71 หรือ มาตรา 72   นายทะเบียน หรือคณะ
กรรมการ แล้วแต่กรณี จะให้บุคคลที่เกี่ยวข้องนำพยานหลักฐานมาแสดงหรือชี้แจงเพิ่มเติมก็ได้

	มาตรา 74 เมื่อนายทะเบียนได้มีคำสั่งตาม มาตรา 72 วรรคสองแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งคำสั่งพร้อมด้วย
เหตุผลให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าและผู้ได้รับอนุญาตทราบโดยไม่ชักช้า คำสั่งดังกล่าวให้มีผล
นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากนายทะเบียน 
	เจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือผู้ได้รับอนุญาต มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนตามวรรคหนึ่ง
ต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากนายทะเบียน ถ้าไม่อุทธรณ์ภายใน
กำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าคำสั่งของนายทะเบียนเป็นที่สุด
	คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการตามวรรคสองให้เป็นที่สุด
	*มาตรา 72 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 75 เมื่อคณะกรรมการได้มีคำสั่งตาม มาตรา 72 วรรคสาม แล้ว  ให้มีหนังสือแจ้งคำสั่ง
พร้อมด้วยเหตุผลให้เจ้าของเครื่องหมายการค้า  ผู้ได้รับอนุญาต  ผู้มีส่วนได้เสียซึ่งเป็นผู้ร้องขอ
และนายทะเบียนทราบโดยไม่ชักช้า คำสั่งดังกล่าวให้มีผลนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากคณะ
กรรมการ 
	ผู้มีส่วนได้เสียหรือนายทะเบียนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง 
ต่อศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากคณะกรรมการ ถ้าไม่อุทธรณ์ภายใน
กำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าคำสั่งของคณะกรรมการเป็นที่สุด

	มาตรา 76 ในกรณีที่มีการเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใด   การอนุญาตให้ใช้
เครื่องหมายการค้านั้นย่อมสิ้นผลไปด้วย

	มาตรา 77  ในกรณีที่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เจ้าของ
เครื่องหมายการค้ามีสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นเสียเอง หรือจะอนุญาตให้บุคคลอื่นนอก
จากผู้ได้รับอนุญาตใช้เครื่องหมายการค้านั้นอีกก็ได้

	มาตรา 78 ในกรณีที่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้ได้รับ
อนุญาตมีสิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นได้ทั่วประเทศสำหรับสินค้าทั้งหมดที่ได้จดทะเบียนไว้
ตลอดอายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น รวมทั้งในกรณีที่มีการต่ออายุการจดทะเบียนด้วย 

	มาตรา 79 ในกรณีที่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ผู้ได้รับ
อนุญาตจะโอนการอนุญาตตามสัญญาดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไม่ได้ และจะอนุญาตช่วง
ให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้นอีกทอดหนึ่งก็ไม่ได้

	มาตรา 79/1 ในกรณีที่สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุการโอนหรือการรับมรดกสิทธิในเครื่องหมาย
การค้าที่มีการทำสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้น
	*มาตรา 79/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	หมวด 1/1
	การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด
	*หมวด 1/1 มาตรา 72/1 - 72/15 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 79/2 ในหมวดนี้
	“พิธีสารมาดริด” หมายความว่า พิธีสารที่เกี่ยวกับความตกลงมาดริดเรื่องการจดทะเบียนระหว่าง
ประเทศของเครื่องหมาย ซึ่งได้รับรอง ณ กรุงมาดริด เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2532 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
	“คำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศ” หมายความว่า คำขอเพื่อการจดทะเบียนระหว่างประเทศ
สำหรับเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วม ที่ยื่นภายใต้
พิธีสารมาดริด
	“สำนักระหว่างประเทศ” หมายความว่า สำนักระหว่างประเทศขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
	“สำนักงานต้นทาง” หมายความว่า สำนักงานที่รับคำขอจดทะเบียนหรือรับจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าที่ใช้เป็นฐานในการยื่นคำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศ

	มาตรา 79/3 การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ
ในหมวดนี้ และให้นำบทบัญญัติในหมวด 1 เครื่องหมายการค้า เว้นแต่มาตรา 10 มาตรา 40 วรรคสอง
และมาตรา 59 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

	มาตรา 79/4 ผู้มีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศในราชอาณาจักรต้องเป็นผู้ซึ่งได้
ยื่นคำขอจดทะเบียนหรือเป็นผู้ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แล้วในราชอาณาจักร และ
มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
	(1) มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย หรือ
	(2) มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย หรือ
	(3) มีสถานประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมและยังคงประกอบการอย่างจริงจังในประเทศไทย

	มาตรา 79/5 ผู้ซึ่งได้ยื่นคำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศในราชอาณาจักร มีสิทธิขอรับ
ความคุ้มครองต่อภาคีอื่น และอาจขอรับความคุ้มครองเพิ่มเติมภายหลังจากที่ได้รับการจดทะเบียน
ระหว่างประเทศแล้วก็ได้

	มาตรา 79/6 เมื่อได้รับแจ้งการขอจดทะเบียนระหว่างประเทศที่ระบุขอรับความคุ้มครอง
ในราชอาณาจักรจากสำนักระหว่างประเทศแล้ว ให้ถือว่าเป็นคำขอจดทะเบียนในราชอาณาจักร และ
ให้นายทะเบียนดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
	ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าเครื่องหมายการค้าตามวรรคหนึ่งไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้
หรือการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียน
มีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน และแจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลไปยังสำนักระหว่างประเทศภายในระยะเวลา
และตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
	ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าอาจมีการคัดค้านเกินระยะเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงตามวรรคสอง
ให้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักระหว่างประเทศภายในระยะเวลาและตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด
ในกฎกระทรวง และในกรณีที่มีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเนื่องจากการคัดค้านนั้น ให้นายทะเบียนมีหนังสือ
แจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุแห่งการคัดค้านไปยังสำนักระหว่างประเทศภายในระยะเวลา และตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
	ในกรณีที่ไม่มีการแจ้งอย่างหนึ่งอย่างใดไปยังสำนักระหว่างประเทศตามวรรคสองหรือวรรคสาม
ให้ถือว่านายทะเบียนรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น โดยไม่ต้องประกาศโฆษณาตามมาตรา 29
	เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ให้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้รับความคุ้มครอง
เช่นเดียวกับเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนในราชอาณาจักร

	มาตรา 79/7 เมื่อได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใดแล้ว ให้ถือว่าวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียน
ระหว่างประเทศต่อสำนักงานต้นทางเป็นวันที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น เว้นแต่ในกรณีที่สำนัก
ระหว่างประเทศได้รับคำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศเกินระยะเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้ถือว่าวันที่
สำนักระหว่างประเทศได้รับคำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศเป็นวันที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น
	การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้มีอายุสิบปีนับแต่วันที่จดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง และ
อาจต่ออายุได้ตามพระราชบัญญัตินี้

	มาตรา 79/8 ในกรณีที่มีการระบุขอรับความคุ้มครองในราชอาณาจักรภายหลังจากที่สำนัก
ระหว่างประเทศได้จดทะเบียนไว้แล้ว ให้นำบทบัญญัติมาตรา 79/6 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้ถือว่า
เครื่องหมายการค้านั้นได้รับความคุ้มครองในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่สำนักระหว่างประเทศได้บันทึก
การขอรับความคุ้มครองในทะเบียนระหว่างประเทศ และให้วันสิ้นอายุการจดทะเบียนเป็นวันเดียวกับ
วันสิ้นอายุในทะเบียนระหว่างประเทศนั้น และอาจต่ออายุได้ตามพระราชบัญญัตินี้

	มาตรา 79/9 ในกรณีที่เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร
เป็นเครื่องหมายเดียวกันกับเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนระหว่างประเทศซึ่งได้รับความคุ้มครอง
ในราชอาณาจักรแล้ว และเป็นของเจ้าของเดียวกัน เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นอาจขอให้นายทะเบียน
บันทึกว่าเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนระหว่างประเทศมีผลแทนเครื่องหมายการค้าที่ได้รับ
การจดทะเบียนในราชอาณาจักรสำหรับสินค้าทั้งหมดหรือบางอย่างที่ตรงกันก็ได้
	บทบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ไม่กระทบถึงสิทธิที่ได้มาจากการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ในราชอาณาจักรที่มีอยู่ก่อน

	มาตรา 79/10 ในกรณีที่คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ยื่นไว้ ณ สำนักงานต้นทาง
รวมถึงทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนตามคำขอดังกล่าว หรือทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ที่จดทะเบียนไว้ ณ สำนักงานต้นทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการยื่นคำขอจดทะเบียนระหว่างประเทศสำหรับ
เครื่องหมายการค้ารายใด ถูกถอนคืน ละทิ้ง ปฏิเสธ หรือเพิกถอน แล้วแต่กรณี สำหรับสินค้าทั้งหมด
หรือบางอย่าง ภายในระยะเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวง และเมื่อได้รับแจ้งการเพิกถอนทะเบียนระหว่าง
ประเทศสำหรับเครื่องหมายการค้านั้นจากสำนักระหว่างประเทศแล้ว ให้ถือว่าคำขอจดทะเบียนหรือทะเบียน
เครื่องหมายการค้าที่ระบุขอรับความคุ้มครองในราชอาณาจักร ถูกถอนคืน ละทิ้ง ปฏิเสธ หรือเพิกถอน
แล้วแต่กรณี สำหรับสินค้าทั้งหมดหรือบางอย่างเช่นเดียวกัน ณ วันที่ทะเบียนระหว่างประเทศถูกเพิกถอน
	บทบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับการถอนคืน ละทิ้ง
ปฏิเสธ หรือเพิกถอน ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวงตามวรรคหนึ่ง แต่ผลของการดำเนินการ
ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากระยะเวลานั้นสิ้นสุดแล้วด้วย
	ในกรณีที่ประเทศไทยเป็นสำนักงานต้นทาง เมื่อมีเหตุตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้นายทะเบียน
แจ้งไปยังสำนักระหว่างประเทศ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

	มาตรา 79/11 ในกรณีที่ทะเบียนระหว่างประเทศสำหรับเครื่องหมายการค้าใดซึ่งระบุขอรับ
ความคุ้มครองในราชอาณาจักรถูกเพิกถอนโดยสำนักระหว่างประเทศเนื่องจากเหตุตามมาตรา 79/10
เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ทะเบียนระหว่างประเทศถูกเพิกถอนอาจยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น
ในราชอาณาจักรสำหรับสินค้าเดียวกันได้ ทั้งนี้ ต้องเป็นการยื่นภายในระยะเวลา และตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และให้ถือว่าวันที่จดทะเบียนระหว่างประเทศตามมาตรา 79/7 หรือ
วันที่บันทึกการขอรับความคุ้มครองภายหลังการจดทะเบียนระหว่างประเทศตามมาตรา 79/8 แล้วแต่กรณี
เป็นวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนในราชอาณาจักร

	มาตรา 79/12 หนังสือเรียก หนังสือแจ้ง หรือหนังสืออื่นใด ที่มีถึงผู้ขอจดทะเบียนระหว่างประเทศ
หรือเจ้าของทะเบียนระหว่างประเทศ ตัวแทน ผู้รับมอบอำนาจ หรือบุคคลอื่นใด เพื่อปฏิบัติการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ส่งไปยังสำนักระหว่างประเทศ เพื่อแจ้งต่อไปให้บุคคลนั้นทราบ เว้นแต่เป็นกรณีที่กำหนด
ในกฎกระทรวง ทั้งนี้ การส่งหนังสือดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด
ในกฎกระทรวง
	เมื่อได้ส่งตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในวรรคหนึ่ง และเวลาได้ล่วงพ้นไปตามที่
กำหนดในกฎกระทรวง ให้ถือว่าบุคคลตามวรรคหนึ่งได้รับหนังสือนั้นแล้ว

	มาตรา 79/13 การขอและการจดทะเบียน การขอบันทึกการจดทะเบียนระหว่างประเทศ
แทนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในราชอาณาจักร การขอรับความคุ้มครอง การแก้ไขเปลี่ยนแปลง
รายการในทะเบียน การอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียน และการต่ออายุการจดทะเบียน รวมทั้ง
การดำเนินการอื่นใดภายใต้พิธีสารมาดริด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด
ในกฎกระทรวง

	มาตรา 79/14 การออกกฎกระทรวงตามมาตรา 79/6 มาตรา 79/7 มาตรา 79/10
มาตรา 79/11 มาตรา 79/12 และมาตรา 79/13 ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับพิธีสารมาดริด
ค่าดำเนินการในต่างประเทศภายใต้พิธีสารมาดริดให้เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศตามที่สำนัก
ระหว่างประเทศกำหนด

	มาตรา 79/15 บทบัญญัติในหมวดนี้ให้ใช้บังคับโดยอนุโลมแก่เครื่องหมายบริการ เครื่องหมาย
รับรอง และเครื่องหมายร่วม ที่ขอจดทะเบียนระหว่างประเทศภายใต้พิธีสารมาดริด แล้วแต่กรณีด้วย
	
	หมวด 2
	เครื่องหมายบริการและเครื่องหมายรับรอง

	มาตรา 80 ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้ามาใช้บังคับแก่เครื่องหมายบริการโดยอนุโลม 
และให้คำว่า "สินค้า" ในบทบัญญัติดังกล่าวหมายความถึง "บริการ"  

	มาตรา 81 เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในหมวดนี้ ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า
มาใช้บังคับแก่เครื่องหมายรับรองโดยอนุโลม  

	มาตรา 82 การขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองนั้น นอกจากจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วย
การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ผู้ขอจดทะเบียนจะต้อง
	(1)  ยื่นข้อบังคับว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองนั้นพร้อมกับคำขอจดทะเบียนด้วยและ 
	(2)  แสดงได้ว่าตนมีความสามารถเพียงพอที่จะรับรองคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการ
ตามที่ระบุไว้ใน ข้อบังคับตาม (1)  
	ข้อบังคับตาม (1) ต้องระบุถึง แหล่งกำเนิด ส่วนประกอบ วิธีการผลิต คุณภาพ หรือ
คุณลักษณะอื่นใดของสินค้าหรือบริการที่จะรับรอง ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ใน
การอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองนั้น   

	มาตรา 83 นายทะเบียน อาจมีคำสั่งผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ
ว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองตามที่นายทะเบียนเห็นสมควร ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับ
คำสั่งนั้น และมีหนังสือแจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผล ให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ให้
นำ มาตรา 18 และ มาตรา 19 มาใช้บังคับ แก่การอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนโดยอนุโลม  
 
	มาตรา 84 ถ้านายทะเบียนเห็นว่า ผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองไม่มีความสามารถเพียงพอ
ที่จะรับรองคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับว่าด้วยการใช้เครื่องหมาย
รับรองนั้น หรือเห็นว่าการรับจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน 
ให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองนั้นและมีหนังสือแจ้งคำสั่งพร้อมด้วย
เหตุผล ให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ให้นำ มาตรา 18 และ มาตรา 19 มาใช้บังคับ
แก่การอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนโดยอนุโลม  

	มาตรา 85 ในการประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองให้นายทะเบียนระบุถึงสาระ
สำคัญของข้อบังคับว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองนั้นด้วย  

	มาตรา 86 เจ้าของเครื่องหมายรับรองที่ได้จดทะเบียนแล้วจะขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับว่าด้วย
การใช้เครื่องหมายรับรองนั้นก็ได้   แต่จะต้องไม่เป็นการกระทบกระเทือนต่อประโยชน์ของสาธารณชน 
	การขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ที่กำหนดในกฎกระทรวง  

	มาตรา 87 ถ้านายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นควรรับจดทะเบียนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ
ตาม มาตรา 86 ให้นายทะเบียนมีคำสั่งรับจดทะเบียน และมีคำสั่งให้ประกาศโฆษณาสาระสำคัญ
ของข้อบังคับที่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้ว  
	เมื่อได้มีคำสั่งให้ประกาศโฆษณาตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งคำสั่งให้
เจ้าของเครื่องหมายรับรองนั้นทราบโดยไม่ชักช้า  

	มาตรา 88 ถ้านายทะเบียนเห็นว่าไม่ควรรับจดทะเบียนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับตาม 
มาตรา 86 ให้นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน และมีหนังสือแจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผล
ให้เจ้าของเครื่องหมายรับรองนั้นทราบโดยไม่ชักช้า

	มาตรา 89 เจ้าของเครื่องหมายรับรองนั้นหรือบุคคลอื่นใด ที่ได้รับหรือจะได้รับความเสียหาย
จากคำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 87 หรือมาตรา 88 มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการ
ภายในหกสิบวันนับแต่วันประกาศโฆษณาตามมาตรา 87 หรือนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของ
นายทะเบียนตามมาตรา 88 แล้วแต่กรณี 
	คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรการตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด
	*มาตรา 89 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 90 เจ้าของเครื่องหมายรับรองที่ได้จดทะเบียนแล้วจะใช้เครื่องหมายนั้นกับสินค้าหรือบริการ
ของตนเองไม่ได้ และจะอนุญาตให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับรองโดยใช้เครื่องหมายนั้นก็ไม่ได้ 

	มาตรา 91 การอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายรับรองกับสินค้าหรือบริการของบุคคลนั้น ต้อง
ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อเจ้าของเครื่องหมายรับรอง

	มาตรา 92 การโอนสิทธิในเครื่องหมายรับรองที่ได้จดทะเบียนแล้ว จะกระทำได้ต่อเมื่อ
	(1)  ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้ว โดยผู้รับโอนสามารถแสดงต่อนายทะเบียนได้ว่า
ตนมีความสามารถเพียงพอที่จะรับรองคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการ ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับ
ว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองนั้น
	(2)  ทำเป็นหนังสือ  และ 
	(3)  จดทะเบียนต่อนายทะเบียน 
	ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่อนุญาตหรือไม่รับจดทะเบียนการโอนสิทธิตามวรรคหนึ่ง
ให้นำ มาตรา 84 มาใช้บังคับโดยอนุโลม 
	การขออนุญาตโอนสิทธิ และการขอจดทะเบียนการโอนสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

	มาตรา 93 สิทธิในเครื่องหมายรับรองสิ้นสุดลง เมื่อเจ้าของเครื่องหมายรับรองนั้นตายหรือสิ้นสภาพ
บุคคล 

	หมวด 3
	เครื่องหมายร่วม

	มาตรา 94 ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้ามาใช้บังคับ แก่เครื่องหมายร่วมโดยอนุโลม 
เว้นแต่บทบัญญัติใน หมวด 1 ส่วนที่ 5  

	หมวด 4 
	คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า 

	มาตรา 95 ให้มีคณะกรรมการเรียกว่า "คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า" ประกอบด้วยอธิบดีกรม
ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือผู้แทน อัยการ
สูงสุดหรือผู้แทน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความสามารถด้านกฎหมายหรือการพาณิชย์ และมี
ประสบการณ์เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหรือเครื่องหมายการค้าไม่น้อยกว่าแปดคนแต่ไม่เกิน
สิบสองคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
	 การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการตามวรรคหนึ่ง ต้องแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิภาค
เอกชนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
	คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการก็ได้
	"ยกเลิกและแก้ไขความในมาตรา 95 และแก้ไขโดยโดยมาตรา 18 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมาย
การค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 96 คณะกรรมการ มีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
	(1) วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของนายทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
	(2) พิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า 
เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง เครื่องหมายร่วม หรือสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย
การค้าหรือเครื่องหมายบริการตามพระราชบัญญัตินี้
	(3) ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวงหรือประกาศตาม
พระราชบัญญัตินี้  
	(4) พิจารณาเรื่องอื่นๆ ตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย  
	"ยกเลิกและแก้ไขความใน (2)มาตรา 96 โดยมาตรา 19 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า 
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 97 กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี
	ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ใน
ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับ
วาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น 
	กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
 
	มาตรา 98 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตาม มาตรา 97  กรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรี
แต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ  
 	(1)  ตาย
	(2)  ลาออก
	(3)  คณะรัฐมนตรีให้ออก
	(4)  เป็นบุคคลล้มละลาย
	(5)  เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
	(6)  ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้
กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ 

	มาตรา 99 การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน
กรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม  
	ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุม ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคน
หนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม   
 	การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งใน
การลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็น
เสียงชี้ขาด  
	กรรมการผู้ใดมีส่วนได้เสียในเรื่องที่พิจารณาตามมาตรา 96 (1) หรือ (2) ห้ามมิให้
กรรมการผู้นั้นเข้าร่วมประชุมในเรื่องดังกล่าว
	"เพิ่มเติมความในวรรคสี่มาตรา 99 โดยมาตรา 20 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 
2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 99 ทวิ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 96 (1) และ (2) คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะ
กรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่ง หรือคำ
วินิจฉัยของนายทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ และเมื่อดำเนินการแล้ว ให้รายงานต่อคณะ
กรรมการเพื่อมีคำสั่งหรือคำวินิจฉัยต่อไป
	ให้นำมาตรา 99 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องโดย
อนุโลม
	"เพิ่มเติมมาตรา 99 ทวิ โดยมาตรา 21 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 
2543"

	มาตรา 100 
	คณะกรรมการ อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่ง
อย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้  
 	ให้นำ มาตรา 99  มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม

	มาตรา 101 การอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของนายทะเบียน และคำร้องขอให้เพิกถอนการจด
ทะเบียนเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง เครื่องหมายร่วม หรือสัญญา
อนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ยื่นต่อนาย
ทะเบียนตามแบบที่อธิบดีกำหนด
	วิธีพิจารณาอุทธรณ์และคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม
ระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
	"ยกเลิกและแก้ไขความในมาตรา 101 โดยมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า 
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 102 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจมีหนังสือสอบถาม หรือ
เรียกนายทะเบียน ผู้อุทธรณ์ หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริง  คำอธิบาย หรือความเห็น 
หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาก็ได้

	หมวด 5 
	เบ็ดเตล็ด

	มาตรา 103 ในระหว่างเวลาทำการ บุคคลใดๆ มีสิทธิมาตรวจดูทะเบียนเครื่องหมายการค้า 
เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรองและเครื่องหมายร่วม สารบบเครื่องหมายดังกล่าว ขอ
คัดเนาหรือขอให้รับรองสำเนาเอกสาร หรือขอคำรับรองจากนายทะเบียนเกี่ยวกับรายการจด
ทะเบียน โดยเสียค่าธรรมเนียมตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง 

	มาตรา 104 หนังสือเรียก หนังสือแจ้ง หรือหนังสืออื่นใด ที่มีถึงผู้ขอจดทะเบียน ผู้คัดค้าน เจ้าของ
เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมที่ได้จดทะเบียน
แล้ว ผู้ได้รับอนุญาตหรือบุคคลอื่นใด เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ส่งโดยทางไปรษณีย์
ลงทะเบียนตอบรับ ณ สำนักงานหรือสถานที่ที่ระบุไว้ในคำขอจดทะเบียน หรือที่ได้จดทะเบียนไว้ 
แล้วแต่กรณี  
 	ถ้าไม่สามารถส่งตามวิธีดังกล่าวในวรรคหนึ่งได้ จะให้เจ้าพนักงานนำหนังสือนั้นไปส่งหรือ
จะส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ในกรณีที่ให้เจ้าพนักงานนำหนังสือนั้น
ไปส่งถ้าไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานในสำนักงาน  
หรือสถานที่ดังกล่าว หรือจะปิดหนังสือนั้นไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ สำนักงานหรือสถานที่ดังกล่าว
ของผู้รับนั้นก็ได้  
	เมื่อได้ส่งตามวิธีการดังกล่าวในวรรคสองและเวลาได้ล่วงพ้นไปเจ็ดวันแล้วให้ถือว่า
บุคคลนั้นได้รับหนังสือนั้นแล้ว

	มาตรา 105 เพื่อประโยชน์ในการฟ้องและดำเนินคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ 
เครื่องหมายรับรองและเครื่องหมายร่วมตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้ขอจดทะเบียนหรือเจ้าของ
เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมมิได้มีภูมิลำเนา
อยู่ในประเทศไทยให้ถือว่าสำนักงานหรือสถานที่ของบุคคลดังกล่าวหรือตัวแทน ตามที่ระบุไว้ใน
คำขอจดทะเบียนหรือที่ได้จดทะเบียนไว้เป็นภูมิลำเนาของบุคคลดังกล่าว  

	 มาตรา 106  ในกรณีที่นายทะเบียนร้องขอต่อคณะกรรมการให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่อง
หมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมหรือให้สั่งเพิกถอนการ
จดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการให้นายทะเบียนได้รับ
ยกเว้นค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้  

	มาตรา 106 ทวิ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มี
อำนาจ ดังต่อไปนี้
	(1) เข้าไปในสถานที่ทำการ สถานที่ผลิต สถานที่จำหน่าย สถานที่รับซื้อ หรือสถานที่เก็บ
สินค้าของผู้ประกอบธุรกิจหรือของบุคคลใด หรือสถานที่อื่นที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการฝ่าฝืน
บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือเข้าไปในยานพาหนะของบุคคลใด หรือสั่งเจ้าของหรือผู้
ควบคุมยานพาหนะให้หยุดหรือจอด เพื่อตรวจสอบให้การเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อ
ตรวจค้นและยึดพยานหลักฐานหรือทรัพย์สินที่อาจริบได้ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือจับกุมผู้
กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้โดยไม่ต้องมีหมายค้นในกรณีดังต่อไปนี้ 	
		(ก) เมื่อปรากฎความผิดซึ่ง
หน้ากำลังกระทำในสถานที่หรือยานพาหนะ
		(ข) บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไป หรือมีเหตุอัน
แน่นแฟ้นควรสงสัยว่าได้ซุกซ่อนอยู่ในสถานที่หรือยานพาหนะ
		(ค) เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าพยานหลักฐานหรือทรัพย์สินที่อาจริบได้
ตามพระราชบัญญัตินี้อยู่ในสถานที่หรือยานพาหนะ ประกอบทั้งมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการ
เนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ พยานหลักฐานหรือทรัพย์สินจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือ
ทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม
		(ง) เมื่อผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าของสถานที่หรือยานพาหนะ และการจับนั้นมี
หมายจับหรือจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย
	ในการนี้ให้มีอำนาจสอบถามข้อเท็จจริง หรือเรียกบัญชี ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐาน
อื่นจากผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของ หรือผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือจากบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง ตลอดจน
สั่งให้บุคคลดังกล่าวซึ่งอยู่ในสถานที่หรือยานพาหนะนั้นปฏิบัติการเท่าที่จำเป็น
	(2) ในกรณีที่มีหลักฐานชัดแจ้งเป็นที่เชื่อถือได้ว่ามีการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราช
บัญญัตินี้ ให้มีอำนาจอายัดหรือยึดสินค้า ยานพาหนะ เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการ
กระทำความผิดไปก่อนได้แต่ต้องรายงานต่ออธิบดีเพื่อให้ความเห็นชอบภายในสามวัน ทั้งนี้ ตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

	มาตรา 106  ตรี ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 106 ทวิ นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดง
บัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
	 บัตรประจำตัวตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

	มาตรา 106 จัตวา ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
	"เพิ่มเติมความในมาตรา 106 ทวิ มาตรา 106 ตรี และมาตรา 106 จัตวาโดยมาตรา 23 
แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	หมวด 6
	บทกำหนดโทษ 

	มาตรา 107 บุคคลใดยื่นคำขอ คำคัดค้าน หรือเอกสารอื่นใดเกี่ยวกับ การขอจดทะเบียน การแก้ไข
เปลี่ยนแปลงการจดทะเบียน การต่ออายุการจดทะเบียนหรือการเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่อง
หมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมหรือการอนุญาตให้ใช้
เครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายบริการ โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนหรือ
คณะกรรมการ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

	มาตรา 108 บุคคลใดปลอมเครื่องหมายการค้า  เครื่องหมายบริการ  เครื่องหมายรับรอง  หรือ
เครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี 
หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

	มาตรา 109 บุคคลใดเลียนเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือ
เครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่า
เป็น เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมของบุคคล
อื่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

	มาตรา 109/1 บุคคลใดนำหีบห่อหรือภาชนะที่แสดงเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายรับรอง
หรือเครื่องหมายร่วม ของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักรมาใช้สำหรับสินค้าของตนเอง
หรือของบุคคลอื่น เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายร่วม
หรือเชื่อว่าเป็นสินค้าที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือ
ปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 109/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

	มาตรา 110 
	บุคคลใด
	(1)  นำเข้ามาในราชอาณาจักร จำหน่าย เสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่งสินค้า
ที่มีเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายรับรองหรือเครื่องหมายร่วมปลอมตาม มาตรา 108 หรือที่
เลียนเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายรับรองหรือเครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่น ตาม มาตรา 109 
หรือ  
	(2)  ให้บริการหรือเสนอให้บริการที่ใช้เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือ
เครื่องหมายร่วมปลอมตาม มาตรา 108 หรือที่เลียนเครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือ
เครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นตาม มาตรา 109  
	ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ  

	มาตรา 111 บุคคลใด
 	(1) แสดงเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วม
ที่มิได้จดทะเบียนในราชอาณาจักรว่าเป็นเครื่องหมายดังกล่าวที่ได้จดทะเบียนในราชอาณาจักรแล้ว  
	(2)  จำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายรับรอง 
หรือเครื่องหมายร่วมตาม (1) ที่ตนรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ หรือ  
	(3)  ให้บริการหรือเสนอให้บริการโดยแสดงเครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือ
เครื่องหมายร่วมตาม (1) ที่ตนรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ  
	ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

	มาตรา 112  บุคคลใดฝ่าฝืน มาตรา 90 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

	มาตรา 112 ทวิ ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 106 ทวิ 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

	มาตรา 112 ตรี ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตาม
มาตรา 106 ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	"เพิ่มเติมความในมาตรา 112 ทวิ และมาตรา 112 ตรี โดยมาตรา 24 แห่งพ.ร.บ. เครื่อง
หมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543"

	มาตรา 113  บุคคลใดกระทำความผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อพ้นโทษแล้วยังไม่ครบ
กำหนดห้าปีกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้อีก ให้วางโทษทวีคูณ  

	มาตรา 114 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจาก
การสั่งการ การกระทำ หรือไม่สั่งการ หรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการผู้
จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่
บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นๆ ด้วย"
	"ยกเลิกความในมาตรา 114 โดยมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) 
พ.ศ. 2543"

	มาตรา 115  บรรดาสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย หรือมีไว้จำหน่ายอันเป็นการ
กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่  
 
	มาตรา 116 ในกรณีที่มีหลักฐานโดยชัดแจ้งว่ามีผู้กระทำการหรือกำลังกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตาม มาตรา 108  มาตรา 109 หรือ มาตรา 110 เจ้าของเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ 
เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมอาจขอให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวระงับหรือละเว้น
การกระทำดังกล่าวนั้นได้    

	มาตรา 117  เครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วตาม พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า 
พุทธศักราช 2474  และยังคงจดทะเบียนอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ให้ถือว่าเป็น
เครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัตินี้  

	มาตรา 118 ให้คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 
2474   ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้มี
คณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้  แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  

	มาตรา 119 บรรดาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลง คำขอจดทะเบียน 
คำขอจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงข้อความที่ได้จดทะเบียนแล้ว คำขอจดทะเบียนโอนสิทธิใน
เครื่องหมายการค้า และคำขอต่ออายุเครื่องหมายการค้าที่ได้ยื่นไว้แล้วตาม พระราชบัญญัติ 
เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 ถ้าก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
 	(1) นายทะเบียนยังมิได้มีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับคำขอดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นคำ
ขอที่ได้ยื่นตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินการเกี่ยวกับคำขอดังกล่าว ตามพระราชบัญญัตินี้ 
 	(2) นายทะเบียนได้มีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับคำขอดังกล่าวแล้ว การดำเนินการ
เกี่ยวกับคำขอดังกล่าวให้อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า 
พุทธศักราช 2474 ต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด  

	มาตรา 120 การขอต่ออายุเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ตาม พระราชบัญญัติ 
เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 ซึ่งเจ้าของได้ขอจดทะเบียนไว้สำหรับสินค้าจำพวกใด
จำพวกหนึ่งทั้งจำพวก  ให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าระบุรายการสินค้าที่ประสงค์จะได้รับความ
คุ้มครองแต่ละอย่างโดยชัดแจ้ง ในกรณีดังกล่าวนี้ให้นำ มาตรา 9 มาใช้บังคับโดยอนุโลม  

	มาตรา 121 การอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของนายทะเบียนและการคัดค้านการจดทะเบียนตาม 
พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 ที่ค้างพิจารณาอยู่ก่อนวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับให้อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า 
พุทธศักราช  2474  จนกว่าจะถึงที่สุด  

	มาตรา 122 กำหนดเวลาในการอุทธรณ์ กำหนดเวลาในการคัดค้านการจดทะเบียนกำหนดเวลาให้
ผู้ขอจดทะเบียนยื่นคำโต้แย้งที่อาศัยเป็นหลักในการขอจดทะเบียน และกำหนดเวลาการแจ้งให้
นายทะเบียนทราบว่าผู้ขอจดทะเบียนได้ตกลงกันแล้ว  หรือได้นำคดีไปสู่ศาลแล้วตาม 
พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 ถ้ายังมิได้สิ้นสุดลงก่อนวันที่พระราช
บัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เริ่มนับกำหนดเวลาดังกล่าวใหม่ตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นต้นไป

	มาตรา 123 บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบหรือคำสั่งที่ออกตาม พระราชบัญญัติ 
เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับ
พระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวงหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
 -
	อัตราค่าธรรมเนียม
	(1) คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง
หรือเครื่องหมายร่วม
	(ก) สินค้าหรือบริการแต่ละจำพวก 1 ถึง 5 อย่าง อย่างละ 1,000 บาท
	(ข) สินค้าหรือบริการแต่ละจำพวก มากกว่า 5 อย่าง จำพวกละ 9,000 บาท
	(2) รูปเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ
เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วม
ที่มีด้านกว้างหรือด้านยาวเกิน 5 เซนติเมตร
ให้คิดเฉพาะส่วนที่เกิน เซนติเมตรละ 200 บาท
เศษของเซนติเมตรให้คิดเป็นหนึ่งเซนติเมตร
	(3) คำคัดค้านการขอจดทะเบียนตาม (1) ฉบับละ 2,000 บาท
	(4) คำขอโอนสิทธิในคำขอจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ
เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วม คำขอละ 2,000 บาท
	(5) การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง
หรือเครื่องหมายร่วม
	(ก) สินค้าหรือบริการแต่ละจำพวก 1 ถึง 5 อย่าง อย่างละ 600 บาท
	(ข) สินค้าหรือบริการแต่ละจำพวก มากกว่า 5 อย่าง จำพวกละ 5,400 บาท
	(6) ใบแทนหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียน ฉบับละ 200 บาท
	(7) คำขอจดทะเบียนการโอนหรือการรับมรดกสิทธิ
ในเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ
เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วม คำขอละ 2,000 บาท
	(8) คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการ
การจดทะเบียนตาม (5) คำขอละ 400 บาท
	(9) การต่ออายุการจดทะเบียนตาม (5)
	(ก) สินค้าหรือบริการแต่ละจำพวก 1 ถึง 5 อย่าง อย่างละ 2,000 บาท
	(ข) สินค้าหรือบริการแต่ละจำพวก มากกว่า 5 อย่าง จำพวกละ 18,000 บาท
	(10) คำร้องขอต่อคณะกรรมการให้สั่งเพิกถอน
การจดทะเบียนตาม (5) ฉบับละ 1,000 บาท
	(11) คำขอจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้
เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการ คำขอละ 1,000 บาท
	(12) การจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้
เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการ สัญญาละ 2,000 บาท
	(13) คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการ
การจดทะเบียนตาม (12) คำขอละ 400 บาท
	(14) คำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตาม (12) คำขอละ 400 บาท
	(15) คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำขอจดทะเบียน
ตาม (1) (7) หรือ (11) คำขอละ 200 บาท
	(16) คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับว่าด้วย
การใช้เครื่องหมายรับรอง
	(ก) ก่อนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง คำขอละ 200 บาท
	(ข) หลังการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง คำขอละ 400 บาท
	(17) คำอุทธรณ์
	(ก) อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนตาม
มาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 27
หรือคำวินิจฉัยของนายทะเบียนตามมาตรา 37 ฉบับละ 4,000 บาท
	(ข) อุทธรณ์ตามมาตราอื่น ฉบับละ 2,000 บาท
	(18) การตรวจค้นข้อมูลทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง
หรือเครื่องหมายร่วม
หรือสารบบเครื่องหมายดังกล่าว ชั่วโมงละ 200 บาท
เศษของชั่วโมงให้คิดเป็นหนึ่งชั่วโมง
	(19) การขอสำเนาทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง
หรือเครื่องหมายร่วม พร้อมคำรับรอง ฉบับละ 400 บาท
	(20) การขอคัดสำเนาเอกสาร หน้าละ 20 บาท
	(21) การขอให้รับรองสำเนาเอกสารเรื่องเดียวกัน
	(ก) เอกสารไม่เกิน 40 หน้า หน้าละ 20 บาท
	(ข) เอกสารเกิน 40 หน้า ฉบับละ 800 บาท
	(22) การขอหนังสือรับรองรายการการจดทะเบียน ฉบับละ 100 บาท
	(23) คำขออื่น ๆ คำขอละ 200 บาท
	(24) การจัดเตรียมและจัดส่งคำขอจดทะเบียน
ระหว่างประเทศและคำขออื่นภายใต้พิธีสารมาดริด
	(ก) บริการจัดเตรียมและจัดส่งคำขอจดทะเบียน คำขอละ 2,000 บาท
	(ข) บริการจัดเตรียมและจัดส่งคำขอต่ออายุ คำขอโอน
คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลง และคำขออื่น ๆ คำขอละ 1,000 บาท
	(ค) คำขอให้บันทึกการจดทะเบียนระหว่างประเทศ
แทนการจดทะเบียนในราชอาณาจักร คำขอละ 2,000 บาท
	*อัตราค่าธรรมเนียมแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559

 -
	ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
	อานันท์  ปันยารชุน 
	นายกรัฐมนตรี 
-
 	ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 199 ฉบับพิเศษ
	วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 
-
หมายเหตุ
	เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้  คือ  โดยที่ พระราชบัญญัติ 
เครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474  ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว  บทบัญญัติต่างๆ 
จึงล้าสมัยและไม่สามารถคุ้มครองสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้เพียงพอ  ประกอบ
ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องหมายบริการ  เครื่องหมายรับรอง  และสัญญาอนุญาตให้ใช้
เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการ  ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่แพร่หลายและได้รับความคุ้มครอง
ในกฎหมายของต่างประเทศ  หลายประเทศแล้ว  ก็ยังไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไทย  
นอกจากนั้นพระราชบัญญัติดังกล่าวยังมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสม  เช่น  มิได้กำหนด
อำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนและคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า  ตลอดจนสิทธิของ
ผู้จดทะเบียนไว้ให้ชัดเจน  ทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติอยู่มาก  สมควรปรับปรุงพระราชบัญญัติ
ดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้   
-
พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542
"ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117  ตอนที่ 29 ก  วันที่ 1 เมษายน 2543"
-
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133 ตอนที่ 38 ก  วันที่ 29 เมษายน 2559
-

Leave a Reply