อธิบายกฎหมายแรงงานสัมพันธ์-การกระทําอันไม่เป็นธรรม
-
*การกระทําอันไม่เป็นธรรม
-
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121
ห้ามมิให้นายจ้าง
(1) เลิกจ้าง หรือกระทําการใดๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้าง ผู้แทน ลูกจ้าง กรรมการสหภาพ
แรงงาน หรือกรรมการสหพันธ์แรงงาน ไม่สามารถทน ทํางานอยู่ต่อไปได้เพราะเหตุที่ลูกจ้าง หรือ
สหภาพแรงงานได้นัดชุมนุม ทําคําร้อง ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดําเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยาน
หรือให้หลักฐาน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือนายทะเบียน
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน หรือกรรมการแรงงาน สัมพันธ์
ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือต่อศาลแรงงาน หรือเพราะเหตุที่ลูกจ้าง หรือ สหภาพแรงงานกําลังจะ
กระทําการดังกล่าว
(2) เลิกจ้างหรือกระทําการใดๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถ ทน ทํางานอยู่ต่อไปได้
เพราะเหตุที่ลูกจ้างนั้นเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน
(3) ขัดขวางในการที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือให้ลูกจ้างออกจากการเป็น สมาชิกของ
สหภาพแรงงาน หรือให้ หรือตกลงจะให้เงิน หรือทรัพย์สินแก่ลูกจ้าง หรือเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรง
งานเพื่อมิให้สมัครหรือรับสมัครลูกจ้างเป็นสมาชิก หรือเพื่อให้ออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพ
แรงงาน
(4) ขัดขวางการดําเนินการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน หรือขัดขวางการ
ใช้สิทธิของลูกจ้างในการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือ
(5) เข้าแทรกแซงในการดําเนินการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์ แรงงานโดยไม่มี
อํานาจโดยชอบด้วยกฎหมาย
-
ข้อสังเกต
1) ห้ามมิให้นายจ้างกระทําการดังนี้
1. เลิกจ้าง เพราะเหตุที่ลูกจ้างหรือสหภาพแรงงานได้นัดชุมนุม ทําคําร้อง
ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดําเนินการฟ้องร้อง เป็นพยานหรือให้หลักฐานต่อเจ้าพนักงาน
2. เลิกจ้างหรือกระทําการใดๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทน
ทํางานอยู่ต่อไปได้เพราะเหตุที่ลูกจ้างนั้นเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน
3. ขัดขวาง
- การที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
- การดําเนินงานของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน 4. แทรกแซงการ
ดําเนินการของของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน
2) การกระทําที่ห้ามนายจ้างกระทําและถือเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม เช่น
- ลดวันทํางานจากสัปดาห์ละ 6 วันเหลือ 2 วัน และจ่ายค่าจ้างเฉพาะ วันที่มา
เท่านั้น
- ยุบเลิกแผนกเนื่องจากลูกจ้างแผนกนั้นแจ้งข้อเรียกร้อง
3) การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างบางกรณีอาจเป็นทั้งการกระทําอันไม่เป็น ธรรม ตาม พ.ร.บ.
แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 121 หรือมาตรา 123 และเป็นการเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 49 ด้วยก็ได้
-
- กรณีศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3808/2547 แม้บทบัญญัติของ พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ และ พ.ร.บ.
คุ้มครองแรงงานฯ จะกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาแก่ลูกจ้างไว้แตกต่างกัน และเป็น
กฎหมายคนละฉบับแต่ก็เป็นเรื่องที่มีวัตถุประสงค์จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง ไม่ให้ถูกนายจ้าง
เลิกจ้างโดยไม่ได้กระทําความผิดเช่นเดียวกัน ในกรณีที่การเลิกจ้างนั้น เป็นทั้งการกระทําอันไม่เป็น
ธรรมและการเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่ได้กระทําความผิด แม้ ลูกจ้างจะมีสิทธิยื่นคําร้องได้ทั้งต่อคณะ
กรรมการแรงงานสัมพันธ์และพนักงานตรวจ แรงงานก็ตาม แต่ลูกจ้างจะถือเอาประโยชน์จากคําสั่ง
ของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และคําสั่งของพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมาจากเหตุแห่งการเลิก
จ้างเดียวกันทั้งสองทาง มิได้ เพราะจะเป็นการซ้ำซ้อนกันไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
ลูกจ้างจะต้อง เลือกรับเอาประโยชน์ตามคําสั่งดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
โจทก์ถูกจําเลยเลิกจ้างจึงยื่นคําร้องทั้งต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และ พนักงานตรวจแรงงาน
เมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคําสั่งให้จําเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่ โจทก์พร้อมดอกเบี้ย และโจทก์ได้รับ
ค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยตามคําสั่งของพนักงาน ตรวจแรงงานไปครบถ้วนแล้ว อันเป็นการเลือกเข้า
ถือเอาประโยชน์ตามคําสั่งของพนักงาน ตรวจแรงงานแล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิไม่ถือเอา
ประโยชน์ตามคําสั่งของ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ซึ่งมาจากเหตุแห่งการเลิกจ้างเดียวกันไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น คําสั่งในส่วนให้จําเลยรับโจทก์กลับเข้าทํางานหรือให้จ่ายค่าเสียหายนับแต่วันถูกเลิกจ้าง
จนถึงวันที่รับกลับเข้าทํางาน โจทก์จึงไม่สิทธิฟ้องร้องบังคับจําเลยตามคําสั่งของ คณะกรรมการแรง
งานสัมพันธ์ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 993/2546 โจทก์มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ลูกจ้างทํางาน
วันละ 3 กะ แต่ในทางปฏิบัติให้ทํางานวันละ 2 กะเป็นส่วนใหญ่ โดยให้ทํากะละ 12 ชั่วโมง จํานวน
8 ชั่วโมงแรกเป็นการทํางานปกติ พัก 1 ชั่วโมง อีก 3 ชั่วโมงเป็นการทํางาน ล่วงเวลา การที่โจทก์มี
คําสั่งให้จําเลยร่วมกับพวกซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องทํางาน วันละ 3 กะ แม้จะเป็นสิทธิของโจทก์
จะสั่งได้ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แต่ ก็เป็นการเลือกปฏิบัติเพื่อบีบคั้นไม่ให้ทนทํางานอยู่
ต่อไปได้เพราะเหตุที่ยื่นข้อเรียกร้อง หรือเป็นตัวแทนเจรจาอันถือว่าเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม
ตามพระราชบัญญัติแรงงาน สัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 (1) การที่จําเลยได้มีคําสั่งคณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์ ให้โจทก์เปลี่ยนแปลงเวลาทํางานสําหรับจําเลยร่วมกับพวกเป็นเวลาการทํางานตาม
เดิม และวินิจฉัยว่าการสั่งให้ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาเป็นสิทธิของนายจ้างที่จะพิจารณาสั่งให้ ทําหรือ
ไม่ก็ได้ตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และไม่มี
กฎหมายรองรับให้จําเลยออกคําสั่งบังคับให้โจทก์สั่งให้จําเลยร่วมกับพวก ทํางานล่วงเวลาได้
จึงเป็นคําสั่งและคําวินิจฉัยที่ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2544 มาตรา 121 บัญญัติห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างฯลฯ
เพราะเหตุที่ลูกจ้างนัดชุมนุม ทําคําร้อง ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดําเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยาน
หรือให้หลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ หรือเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือมี เหตุใดเหตุหนึ่งใน 5 เหตุ ที่ระบุ
ไว้ในมาตรา 121 หากนายจ้างกระทําการดังกล่าวก็เป็น การกระทําอันไม่เป็นธรรม ในคดีนี้แม้ลูกจ้าง
จะเป็นประธานสหภาพแรงงานและเป็น ผู้เกี่ยวข้องกับการยื่นข้อเรียกร้อง แต่นายจ้างเลิกจ้างโดยเข้า
ใจว่าลูกจ้างมึนเมาสุราใน ขณะทํางานเพราะดื่มสุราก่อนมาทํางานเพียงไม่นาน โดยมีอาการหน้าแดง
และพูดเสียงดัง กว่าปกติมิใช่เลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้อง การเลิกจ้างดังกล่าวจึงมิใช่
การ กระทําอันไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2157/2543 การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างจะเป็นการกระทําอันไม่เป็น
ธรรมหรือไม่ หรือจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น แม้บทบัญญัติของ พ.ร.บ. แรงงาน
สัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 จะกําหน
ดหลักเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าวไว้แตกต่างกันและเป็นกฎหมายต่าง ฉบับกันก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่มี
วัตถุประสงค์จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างในการได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากนายจ้างเช่นเดียวกัน
สําหรับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ หรือศาลแรงงานไม่เห็นสมควรให้นายจ้างรับลูกจ้าง
กลับเข้าทํางานอีก โจทก์นําสาเหตุจากการที่จําเลยเลิกจ้างไปยื่นคําร้องกล่าวหาจําเลยต่อ คณะ
กรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม ขอให้จําเลยชําระค่า เสียหายแก่โจทก์
และต่อมาโจทก์ได้นําเหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวไปฟ้องจําเลยต่อศาล แรงงาน ขอให้บังคับจําเลย
ชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงินอีก จํานวนหนึ่ง พร้อมทั้งให้จําเลยชําระเงินค่า
ชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แล้วโจทก์กับจําเลยได้ตกลงทําสัญญาประนีประนอม
ยอมความกัน โดยจําเลยยอมชําระ เงินให้แก่โจทก์บางส่วนและโจทก์ตกลงรับเงินดังกล่าวและไม่ติด
ใจเรียกร้องค่าเสียหาย และเงินอื่นใดจากจําเลยอีก ศาลแรงงานมีคําพิพากษาไปตามสัญญาประนี
ประนอมยอม ความแล้ว ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจําเลยดังกล่าวหมายความว่า โจทก์พอใจจํานวน
เงิน ค่าเสียหายที่จําเลยชําระตอบแทนในการที่จําเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว ซึ่งรวมทั้งโจทก์ไม่ติดใจ เรียก
ร้องค่าเสียหายที่โจทก์ยื่นคําร้องขอให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคําสั่งให้ จําเลยชําระให้แก่
โจทก์ด้วย แม้ภายหลังจากที่โจทก์และจําเลยได้ตกลงทําสัญญาประนี้ ประนอมยอมความต่อกันแล้ว
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีวินิจฉัยว่าการที่จําเลย เลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม
และมีคําสั่งให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่ โจทก์ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3985-3987/2529 เมื่อที่ประชุมใหญ่ของสหภาพแรงงานได้เลือกตั้ง
ผู้ใดเป็นกรรมการสหภาพแรงงาน ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นกรรมการสหภาพแรงงานตาม ความหมาย
ในมาตรา 121 แล้ว เมื่อสหภาพแรงงานมีมติแต่งตั้งให้ลูกจ้างเป็นกรรมการ สหภาพแรงงาน แม้นาย
จ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างในขณะที่นายทะเบียนยังไม่ได้จดทะเบียน กรรมการ สหภาพแรงงานดังกล่าว
ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 121
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2526 ลูกจ้างเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการเตรียมการยื่นข้อ
เรียกร้อง ต่อนายจ้าง โดยเข้าร่วมประชุมปรึกษากับลูกจ้าง แม้จะไม่มีชื่อและลายมือชื่อของลูกจ้าง
ดังกล่าว ในหนังสือแจ้งข้อเรียกร้องต่อนายจ้าง ก็ถือว่าลูกจ้างเป็นผู้ที่ได้ยื่นข้อเรียกร้อง ด้วย การที่
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างดังกล่าวจึงเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 121 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602-2603/2523 การที่ลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัทผู้เป็นนายจ้าง
แม้จะยื่นในระหว่างที่ยังใช้ข้อบังคับเดิมที่ตกลงกันก็ถือได้ว่าได้มีการยื่นข้อเรียกร้องแล้ว บริษัท
นายจ้างจึงต้องห้ามมิให้เลิกจ้างลูกจ้าง เพราะเหตุที่ยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าว ตาม พระราชบัญญัติแรง
งานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 การเลิกจ้างจึงไม่ชอบ
-
Leave a Reply