กันยายน 7, 2020 In ประมวลกฎหมาย

ประมวลกฎหมายอาญา-update27-2562

ประมวลกฎหมายอาญา-update27-2562
-
แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 27 พ.ศ.2562
-
	ภาค 1
	บทบัญญัติทั่วไป
-
	ลักษณะ 1
	บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป
-
	หมวด 1
	บทนิยาม
-
	มาตรา 1  ในประมวลกฎหมายนี้
	(1) "โดยทุจริต" หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
	(2) "ทางสาธารณ" หมายความว่า ทางบกหรือทางน้ำ สำหรับประชาชนใช้ในการจราจร
และให้หมายความรวมถึงทางรถไฟและทางรถรางที่มีรถเดิน สำหรับประชาชนโดยสารด้วย
	(3) "สาธารณสถาน" หมายความว่า สถานที่ใด  ๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้า
ไปได้
	(4) "เคหสถาน" หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรง เรือ หรือแพซึ่งคนอยู่
อาศัย และให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้ เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วยจะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ได้
	(5) "อาวุธ" หมายความรวมถึง สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้
ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ
	(6) "ใช้กำลังประทุษร้าย" หมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กาย หรือจิตใจของบุคคล
ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็น
เหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ไม่ว่าจะโดยใช้ยาทำให้มึนเมา สะกด
จิต หรือใช้วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน
	(7) "เอกสาร" หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัว
อักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่น  จะเป็นโดยวิธีพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นอันเป็นหลักฐาน
แห่งความหมายนั้น
	(8) "เอกสารราชการ" หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่
และให้หมายความรวมถึงสำเนาเอกสารนั้น ๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย
	(9) "เอกสารสิทธิ" หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน
สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
	(10) "ลายมือชื่อ" หมายความรวมถึง ลายพิมพ์นิ้วมือและเครื่องหมายซึ่งบุคคลลงไว้แทน
ลายมือชื่อของตน
	(11) "กลางคืน" หมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น
	(12) "คุมขัง" หมายความว่า คุมตัว ควบคุม ขัง กักขังหรือจำคุก
	(13) "ค่าไถ่" หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา  หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรี
ภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง
	(14) "บัตรอิเล็กทรอนิกส์" หมายความว่า
	(ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใดไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ
ใช้ซึ่งจะระบุชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการ
ทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งรวมถึง
การประยุกต์ใช้วิธีการทางแสงหรือวิธีการทางแม่เหล็กให้ปรากฏความหมายด้วย
ตัวอักษร ตัวเลข รหัส หมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อื่นใดทั้งที่สามารถมองเห็นและมอง
ไม่เห็นด้วยตาเปล่า
	(ข) ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องมือ
ทางตัวเลขใด ๆ ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่น
ใดให้ แต่มีวิธีการใช้ในทำนองเดียวกับ (ก) หรือ
	(ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์
ระหว่าง บุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็น
เจ้าของ"
	**(14) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547
	(15) “หนังสือเดินทาง” หมายความว่า เอกสารสำคัญประจำตัวไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใด ที่รัฐบาล
ไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศออกให้แก่บุคคลใด เพื่อใช้แสดงตน ในการเดินทาง
ระหว่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและ แบบหนังสือเดินทางที่ยัง
ไม่ได้กรอกข้อความเกี่ยวกับผู้ถือหนังสือเดินทางด้วย”
	**(15)  เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550
	(16) “เจ้าพนักงาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงานหรือได้รับแต่งตั้ง
ตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ไม่ว่าเป็นประจำหรือครั้งคราว และไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่
	**(16) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558
	(17) “สื่อลามกอนาจารเด็ก” หมายความว่า วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำ
ทางเพศของเด็กหรือกับเด็กซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปดปี โดยรูป เรื่อง หรือลักษณะสามารถสื่อไปในทาง
ลามกอนาจาร ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ
ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือรูปแบบอื่นใด
ในลักษณะทำนองเดียวกัน และให้หมายความรวมถึงวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ ข้างต้นที่จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์
หรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นที่สามารถแสดงผลให้เข้าใจความหมายได้
	**(17) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2558
	(18)  “ กระทำชำเรา ”  หมายความว่า กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้
อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น
	**(18) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562
-
	หมวด 2  การใช้กฎหมายอาญา
-
	มาตรา 2  บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น
บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่
บัญญัติไว้ในกฎหมาย
	ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิด
ต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้
ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น   ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การ
ลงโทษนั้นสิ้นสุดลง
	มาตรา 3  ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำ
ความผิด  ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในทางใด  เว้นแต่คดีถึงที่สุด
แล้ว  แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้
	(1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่และโทษที่กำหนดตามคำ
พิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง  เมื่อสำนวนความปรากฏแก่
ศาล  เมื่อผู้กระทำความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น  ผู้อนุบาลของผู้นั้น หรือพนักงานอัยการ
ร้องขอ ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง  ในการที่ศาลจะกำหนดโทษ
ใหม่นี้  ถ้าปรากฏว่าผู้กระทำความผิดได้รับโทษมาบ้างแล้ว เมื่อได้คำนึงถึงโทษตามกฎหมายที่
บัญญัติในภายหลัง หากเห็นเป็นการสมควรศาลจะกำหนดโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ำที่กฎหมายที่
บัญญัติในภายหลังกำหนดไว้  ถ้าหากมีก็ได้ หรือถ้าเห็นว่าโทษที่ผู้กระทำความผิดได้รับมาแล้วเป็น
การเพียงพอ   ศาลจะปล่อยผู้กระทำความผิดไปก็ได้
	(2) ถ้าศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้กระทำความผิดและตามกฎหมายที่บัญญัติในภาย
หลังโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดไม่ถึงประหารชีวิต  ให้งดการประหารชีวิตผู้กระทำความผิด
และให้ถือว่าโทษประหารชีวิตตามคำพิพากษาได้เปลี่ยนเป็นโทษสูงสุดที่จะพึงลงได้ตามกฎหมายที่
บัญญัติในภายหลัง
	มาตรา 4 ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักรต้องรับโทษตามกฎหมาย
	การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด  ให้ถือว่ากระทำ
ความผิดในราชอาณาจักร
	มาตรา 5 ความผิดใดที่การกระทำแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักรก็ดีผลแห่งการ
กระทำเกิดในราชอาณาจักรโดยผู้กระทำประสงค์ให้ผลนั้นเกิดในราชอาณาจักรหรือโดยลักษณะ
แห่งการกระทำผลที่เกิดขึ้นนั้นควรเกิดในราชอาณาจักรหรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดในราช
อาณาจักรก็ดี  ให้ถือว่าความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร
	ในกรณีการตระเตรียมการ   หรือพยายามกระทำการใดซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
แม้การกระทำนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร   ถ้าหากการกระทำนั้นจะได้กระทำตลอดไปจนถึง
ขั้นความผิดสำเร็จผลจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร ให้ถือว่าการตระเตรียมการหรือพยายามกระทำ
ความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร
	มาตรา 6 ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักรหรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราช
อาณาจักร  แม้การกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน  ของผู้สนับสนุน  หรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิด
นั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  ก็ให้ถือว่าตัวการ ผู้สนับสนุน   หรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำใน
ราชอาณาจักร
	มาตรา 7 ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร คือ
	(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 107 ถึง
มาตรา 129
	**(1/1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามที่บทบัญญัติไว้ในมาตรา 135/1 มาตรา
135/2 มาตรา 135/3 และมาตรา 135/4
** พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 มาตรา 3
	(2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 240 ถึง มาตรา
249  มาตรา 254  มาตรา 256  มาตรา 257 และ  มาตรา 266 (3) และ (4)
	**(2 ทวิ)  ความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 282  และ  มาตรา  283
	**2 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดย  มาตรา  3  แห่ง  พ.ร.บ.  แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่  14)  พ.ศ.  2540"
	(3) ความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 339 และความผิดฐานปล้นทรัพย์
ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 340 ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง
	มาตรา 8 ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร และ
	(ก) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิด
ขึ้น หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ
	(ข) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสีย
หาย และผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
	ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้ จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร คือ
	(1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 217
มาตรา 218  มาตรา 221 ถึง มาตรา 223 ทั้งนี้เว้นแต่กรณีเกี่ยวกับ มาตรา 220 วรรคแรก และ
มาตรา 224 มาตรา 226  มาตรา 228  ถึง มาตรา 232  มาตรา 237 และ มาตรา 233 ถึง มาตรา
236 ทั้งนี้ เฉพาะเมื่อเป็นกรณีต้องระวางโทษตาม มาตรา 238
	(2) ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 264  มาตรา 265  มาตรา 266
(1) และ (2) มาตรา 268 ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีเกี่ยวกับ  มาตรา 267 และ มาตรา 269
	(2/1) ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 269/1 ถึง
มาตรา 269/7"
	**(2/1) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547
	(2/2) ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทางตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 269/8 ถึงมาตรา 269/15"		
	**(2/2) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550
	(3) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 276  มาตรา 280 และ มาตรา 285
ทั้งนี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับ มาตรา 276
	(4) ความผิดต่อชีวิตตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 288 ถึง มาตรา 290
	(5) ความผิดต่อร่างกาย ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 295 ถึง มาตรา 298
	(6) ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชราตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 306 ถึง
มาตรา 308
	(7) ความผิดต่อเสรีภาพ  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 309 มาตรา 310  มาตรา 312 ถึง
มาตรา 315 และ มาตรา 317 ถึง มาตรา 320
	(8) ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 334 ถึง มาตรา 336
	(9) ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 337 ถึง มาตรา 340
	(10) ความผิดฐานฉ้อโกง ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 341  ถึง มาตรา 344  มาตรา 346
และ มาตรา 347
	(11) ความผิดฐานยักยอก ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 352 ถึง มาตรา 354
	(12) ความผิดฐานรับของโจร  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 357
	(13) ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 358 ถึง มาตรา 360	
	มาตรา 9 เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ใน  มาตรา 147  ถึง มาตรา
166 และ มาตรา 200 ถึง มาตรา 205 นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร
	มาตรา 10 ผู้ใดกระทำการนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นความผิดตาม มาตราต่างๆ ที่ระบุไว้ใน มาตรา 7
(2) และ (3)  มาตรา 8  และ มาตรา 9  ห้ามมิให้ลงโทษผู้นั้นในราชอาณาจักรเพราะการกระทำผิด
นั้นอีก  ถ้า
	(1) ได้มีคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงที่สุดให้ปล่อยตัวผู้นั้น  หรือ
	(2) ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษ  และผู้นั้นพ้นโทษแล้ว
	ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาได้รับโทษสำหรับการกระทำนั้นตามคำพิพากษาของศาลในต่าง
ประเทศมาแล้ว  ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้  หรือ
จะไม่ลงโทษเลยก็ได้  ทั้งนี้  โดยคำนึงถึงโทษที่ผู้นั้นได้รับมาแล้ว
	มาตรา 11 ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร หรือกระทำความผิดที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้
กระทำในราชอาณาจักร ถ้าผู้นั้นได้รับโทษสำหรับการกระทำนั้นตามคำพิพากษาของศาลในต่าง
ประเทศมาแล้วทั้งหมดหรือแต่บางส่วนศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิด
นั่นเพียงใดก็ได้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงโทษที่ผู้นั้นได้รับมาแล้ว
	ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในราชอาณาจักร หรือกระทำความผิดที่ประมวลกฎหมายนี้ถือ
ว่าได้กระทำในราชอาณาจักร ได้ถูกฟ้องต่อศาลในต่างประเทศโดยรัฐบาลไทยร้องขอ ห้ามมิให้ลง
โทษผู้นั้นในราชอาณาจักรเพราะการกระทำนั้นอีก ถ้า
	(1) ได้มีคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงที่สุดให้ปล่อยตัวผู้นั้น หรือ
	(2) ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษ และผู้นั้นได้พ้นโทษแล้ว
	มาตรา 12 วิธีการเพื่อความปลอดภัย  จะใช้บังคับแก่บุคคลใดได้ก็ต่อเมื่อมีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ให้ใช้บังคับได้เท่านั้น  และกฎหมายที่จะใช้บังคับนั้น  ให้ใช้กฎหมายในขณะที่ศาลพิพากษา
	มาตรา 13 ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังได้มีการยกเลิกวิธีการเพื่อความ
ปลอดภัยใด และถ้าผู้ใดถูกใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นอยู่ ก็ให้ศาลสั่งระงับการใช้บังคับ
วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นเสีย  เมื่อสำนวนความปรากฏแก่ศาล  หรือเมื่อผู้นั้น ผู้แทนโดยชอบ
ธรรมของผู้นั้น ผู้อนุบาลของผู้นั้น หรือพนักงานอัยการร้องขอ
	มาตรา 14 ในกรณีที่มีผู้ถูกใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยใดอยู่ และได้มีบทบัญญัติของกฎหมาย
ที่บัญญัติในภายหลังเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่จะสั่งให้มีการใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นไป
ซึ่งเป็นผลอันไม่อาจนำมาใช้บังคับแก่กรณีของผู้นั้นได้ หรือนำมาใช้บังคับได้แต่การใช้บังคับวิธีการ
เพื่อความปลอดภัยตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังเป็นคุณแก่ผู้นั้นยิ่งกว่า เมื่อ
สำนวนความปรากฏแก่ศาล หรือเมื่อผู้นั้น ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้นผู้อนุบาลของผู้นั้นหรือ
พนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้ยกเลิกการใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยหรือร้องขอรับผล
ตามบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น  แล้วแต่กรณี   ให้ศาลมีอำนาจสั่งตามที่เห็นสมควร
	มาตรา 15 ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังโทษใดได้เปลี่ยนลักษณะมาเป็นวิธี
การเพื่อความปลอดภัยและได้มีคำพิพากษาลงโทษนั้นแก่บุคคลใดไว้  ก็ให้ถือว่าโทษที่ลงนั้นเป็นวิธี
การเพื่อความปลอดภัยด้วย
	ในกรณีดังกล่าวในวรรคแรก  ถ้ายังไม่ได้ลงโทษผู้นั้นหรือผู้นั้นยังรับโทษอยู่  ก็ให้ใช้บังคับ
วิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้นั้นต่อไป และถ้าหากว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติใน
ภายหลังมีเงื่อนไขที่จะสั่งให้มีการใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยอันไม่อาจนำมาใช้บังคับแก่
กรณีของผู้นั้น หรือนำมาใช้บังคับได้แต่การใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามบทบัญญัติของ
กฎหมายที่บัญญัติในภายหลังเป็นคุณแก่ผู้นั้นยิ่งกว่า  เมื่อสำนวนความปรากฏแก่ศาล หรือเมื่อผู้
นั้นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น ผู้อนุบาลของผู้นั้น หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้ยกเลิก
การใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัย หรือร้องขอรับผลตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น  แล้วแต่
กรณี ให้ศาลมีอำนาจสั่งการตามที่เห็นสมควร
	มาตรา 16 เมื่อศาลได้พิพากษาให้ใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใดแล้ว ถ้าภายหลังความ
ปรากฏแก่ศาลตามคำเสนอของผู้นั้นเอง  ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น  ผู้อนุบาลของผู้นั้นหรือ
พนักงานอัยการว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการใช้บังคับนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ศาลจะสั่งเพิก
ถอนหรืองดการใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้นั้นไว้ชั่วคราว  ตามที่เห็นสมควรก็ได้
	มาตรา 17 บทบัญญัติใน ภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายนี้  ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมาย
อื่นด้วย เว้นแต่กฎหมายนั้น ๆ จะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
- 
	หมวด 3
	โทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย
-
	ส่วนที่ 1
	โทษ
-
	มาตรา 18 โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
	(1) ประหารชีวิต
	(2) จำคุก
	(3) กักขัง
	(4) ปรับ
	(5) ริบทรัพย์สิน
	"โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดใน
ขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี
	ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิดที่มีระวาง
โทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี"
	**วรรคสองและวรรคสาม เพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2546
	มาตรา 19 ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
	หลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิต ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนด
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
	**ยกเลิกความเดิมและแก้ไขใหม่โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2546
	มาตรา 20 บรรดาความผิดที่กฎหมายกำหนดให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยนั้น  ถ้าศาลเห็นสมควร
จะลงแต่โทษจำคุกก็ได้
	มาตรา 21 ในการคำนวณระยะเวลาจำคุก  ให้นับวันเริ่มจำคุกรวมคำนวณเข้าด้วย และให้นับเป็น
หนึ่งวันเต็มโดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนชั่วโมง
	ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือน  ให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน ถ้ากำหนด
เป็นปี ให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการ
	เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาถูกจำคุกครบกำหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวในวันนัดจากวันที่ครบกำหนด
	มาตรา 22 โทษจำคุก ให้เริ่มแต่วันมีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา
ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา  เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะ
กล่าวไว้เป็นอย่างอื่น
	ในกรณีที่คำพิพากษากล่าวไว้เป็นอย่างอื่น โทษจำคุกตามคำพิพากษาเมื่อรวมจำนวนวัน
ที่ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาในคดีเรื่องนั้นเข้าด้วยแล้วต้องไม่เกินอัตราโทษขั้นสูงของกฎหมายที่
กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ได้กระทำลงนั้น ทั้งนี้ไม่เป็นการกระทบกระเทือนบทบัญญัติใน
มาตรา 91
	มาตรา 23 ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ถ้า
ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่เป็นโทษสำหรับ
ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท  หรือความผิดลหุโทษ ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษกักขังไม่เกินสาม
เดือนแทนโทษจำคุกนั้นก็ได้
	มาตรา 24 ผู้ใดต้องโทษกักขัง  ให้กักตัวไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ สถานีตำรวจ
หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
	 ถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร จะสั่งในคำพิพากษาให้กักขังผู้กระทำความผิดไว้ในที่อาศัยของ
ผู้นั้นเอง หรือของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้  หรือสถานที่อื่นที่อาจกักขังได้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภท
หรือสภาพของผู้ถูกกักขังก็ได้
	ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่า  การกักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในสถานที่กักขังตามวรรคหนึ่งหรือ
วรรคสอง  อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้นั้นหรือทำให้ผู้ซึ่งต้องพึ่งพาผู้ต้องโทษกักขังในการดำรงชีพได้
รับความเดือดร้อนเกินสมควร  หรือมีพฤติการณ์พิเศษประการอื่นที่แสดงให้เห็นว่าไม่สมควรกักขังผู้
ต้องโทษกักขังในสถานที่ดังกล่าว ศาลจะมีคำสั่งให้กักขังในสถานที่อื่นซึ่งมิใช่ที่อยู่อาศัยของผู้นั้นเอง
โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ก็ได้ กรณีเช่นว่านี้ให้ศาลมีอำนาจกำหนด
เงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติ  และหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ดังกล่าว
ยินยอม  ศาลอาจมีคำสั่งแต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้ควบคุมดูแลและให้ถือว่าผู้ที่ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานตาม
ประมวลกฎหมายนี้
	** วรรคหนึ่งแก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545
มาตรา 3
	 ** วรรคสามแก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545
มาตรา 4 	
	มาตรา 25 ผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่ซึ่งกำหนดจะได้รับการเลี้ยงดูจากสถานที่นั้น แต่ภายใต้ข้อ
บังคับของสถานที่   ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิที่จะรับอาหารจากภายนอกโดยค่าใช้จ่ายของตนเอง ใช้
เสื้อผ้าของตนเอง ได้รับการเยี่ยมอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง และรับและส่งจดหมายได้
	ผู้ต้องโทษกักขังจะต้องทำงานตามระเบียบ ข้อบังคับ และวินัย   ถ้าผู้ต้องโทษกักขัง
ประสงค์จะทำงานอย่างอื่นก็ให้อนุญาตให้เลือกทำได้ตามประเภทงานที่ตนสมัคร แต่ต้องไม่ขัดต่อ
ระเบียบข้อบังคับวินัย   หรือความปลอดภัยของสถานที่นั้น
	มาตรา 26 ถ้าผู้ต้องโทษกักขังถูกกักขังในที่อาศัยของผู้นั้นเองหรือของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้  ผู้ต้อง
โทษกักขังนั้นมีสิทธิที่จะดำเนินการในการวิชาชีพหรืออาชีพของตนในสถานที่ดังกล่าวได้ในการนี้
ศาลจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ศาลจะเห็น
สมควร
	มาตรา 27 ถ้าในระหว่างที่ผู้ต้องโทษกักขังตามมาตรา 23 ได้รับโทษกักขังอยู่ความปรากฏแก่ศาลเอง หรือ
ปรากฏแก่ศาลตามคำแถลงของพนักงานอัยการหรือผู้ควบคุมดูแลสถานที่กักขังว่า
	(1) ผู้ต้องโทษกักขังฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับ หรือวินัยของสถานที่กักขัง
	(2) ผู้ต้องโทษกักขังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด หรือ
	(3) ผู้ต้องโทษกักขังต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก
	ศาลอาจเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกมีกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร  แต่ต้องไม่เกิน
กำหนดเวลาของโทษกักขังที่ผู้ต้องโทษกักขังต้องได้รับต่อไป
	** แก้ไขโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15)
พ.ศ. 2545 มาตรา 5
	มาตรา 28 ผู้ใดต้องโทษปรับ ผู้นั้นจะต้องชำระเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
	มาตรา 29 ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา
ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับหรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขัง
แทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกัน
หรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้
	ความในวรรคสองของมาตรา 24 มิให้นำมาใช้บังคับแก่การกักขังแทนค่าปรับ
	*มาตรา 29 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2559
	มาตรา 29/1 ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง
ให้ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้นั้นเพื่อใช้ค่าปรับ
	การบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดี
และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับ
และขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาลหรือพนักงานอัยการ ทั้งนี้ มิให้หน่วยงานของรัฐเรียกค่าฤชาธรรมเนียม
หรือค่าใช้จ่ายจากผู้ดำเนินการบังคับคดี
	การตรวจสอบหาทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับโดยพนักงานอัยการเพื่อการบังคับคดีตามวรรคสอง
ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของอัยการสูงสุด
	บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบต่อการที่ศาลจะมีคำสั่งตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง
	*มาตรา 29/1 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2559
	มาตรา 30 ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราห้าร้อยบาทต่อหนึ่งวัน และไม่ว่าในกรณี
ความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทง ห้ามกักขังเกินกำหนดหนึ่งปี เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับ
ตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป ศาลจะสั่งให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปีก็ได้
ในการคำนวณระยะเวลานั้น ให้นับวันเริ่มกักขังแทนค่าปรับรวมเข้าด้วยและให้นับเป็นหนึ่งวันเต็ม
โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนชั่วโมง
	ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังนั้นออกจาก
จำนวนเงินค่าปรับ โดยถืออัตราห้าร้อยบาทต่อหนึ่งวัน เว้นแต่ผู้นั้นต้องคำพิพากษาให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับ
ในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าจะต้องหักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากเวลาจำคุกตามมาตรา 22 ก็ให้หักออกเสียก่อน
เหลือเท่าใดจึงให้หักออกจากเงินค่าปรับ
	เมื่อผู้ต้องโทษปรับถูกกักขังแทนค่าปรับครบกำหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวในวันถัดจากวันที่ครบกำหนด
ถ้านำเงินค่าปรับมาชำระครบแล้ว ให้ปล่อยตัวไปทันที
	*มาตรา 30 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2559
	มาตรา 30/1 ในกรณีที่ศาลพิพากษาปรับ ผู้ต้องโทษปรับซึ่งมิใช่นิติบุคคลและไม่มีเงินชำระ
ค่าปรับอาจยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีเพื่อขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์
แทนค่าปรับ หรือถ้าความปรากฏแก่ศาลในขณะที่พิพากษาคดีว่าผู้ต้องโทษปรับรายใดอยู่ในเกณฑ์ที่จะทำงาน
บริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ตามมาตรานี้ได้ และถ้าผู้ต้องโทษปรับยินยอม ศาลจะมีคำสั่ง
ให้ผู้นั้นทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับก็ได้
	การพิจารณาคำร้องตามวรรคแรก  เมื่อศาลได้พิจารณาถึงฐานะการเงิน ประวัติและสภาพความผิด
ของผู้ต้องโทษปรับแล้ว เห็นเป็นการสมควร  ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้นั้นทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณ
ประโยชน์แทนค่าปรับก็ได้ ทั้งนี้ ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ  เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ
หรือองค์การซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบริการสังคม การกุศลสาธารณะหรือสาธารณประโยชน์ที่ยินยอมรับดูแล
	กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
ให้ศาลกำหนดลักษณะหรือประเภทของงาน ผู้ดูแลการทำงาน วันเริ่มทำงาน ระยะเวลาทำงาน และจำนวน
ชั่วโมงที่ถือเป็นการทำงานหนึ่งวัน ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงเพศ อายุ ประวัติ การนับถือศาสนา ความประพฤติ
สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อมหรือสภาพความผิดของผู้ต้องโทษ
ปรับประกอบด้วยและศาลจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ต้องโทษปรับปฏิบัติเพื่อแก้ไขฟื้นฟูหรือ
ป้องกันมิให้ผู้นั้นกระทำความผิดขึ้นอีกก็ได้
	ถ้าภายหลังความปรากฏแก่ศาลว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณ
ประโยชน์ของผู้ต้องโทษปรับได้เปลี่ยนแปลงไป  ศาลอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่กำหนดไว้นั้นก็ได้ตามที่
เห็นสมควร
	ในการกำหนดระยะเวลาทำงานแทนค่าปรับตามวรรคสาม ให้นำบทบัญญัติมาตรา 30 มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม และในกรณีที่ศาลมิได้กำหนดให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานติดต่อกันไป  การทำงานดังกล่าวต้องอยู่ภายใน
กำหนดระยะเวลาสองปีนับแต่วันเริ่มทำงานตามที่ศาลกำหนด
	เพื่อประโยชน์ในการกำหนดจำนวนชั่วโมงทำงานตามวรรคสาม  ให้ประธานศาลฎีกามีอำนาจออก
ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมกำหนดจำนวนชั่วโมงที่ถือเป็นการทำงานหนึ่งวัน  สำหรับงานบริการ
สังคมหรืองานสาธารณประโยชน์แต่ละประเภทได้ตามที่เห็นสมควร
	*มาตรา 30/1 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) 
พ.ศ. 2559
	มาตรา 30/2 ถ้าภายหลังศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา 30/1 แล้ว ความปรากฏแก่ศาลเองหรือความ
ปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินพอชำระค่าปรับได้  ในเวลาที่ยื่นคำร้อง
ตามมาตรา 30/1 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ศาลจะเพิกถอนคำสั่งอนุญาต
ดังกล่าวและปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับ โดยให้หักจำนวนวันที่ทำงานมาแล้วออกจากจำนวนเงินค่าปรับก็ได้
	ในระหว่างการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับหากผู้ต้องโทษปรับไม่
ประสงค์ทำงานดังกล่าวต่อไป อาจขอเปลี่ยนเป็นรับโทษปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับก็ได้ ในกรณีนี้ให้ศาล
มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้อง  โดยให้หักจำนวนวันที่ทำงานมาแล้วออกจากจำนวนเงินค่าปรับ
	"มาตรา 30/3 คำสั่งศาลตามมาตรา 30/1 และมาตรา 30/2 ให้เป็นที่สุด"
	**มาตรา 30/1,30/2,30/3 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545 มาตรา 7
	มาตรา 31 ในกรณีที่ศาลจะพิพากษาให้ปรับผู้กระทำความผิดหลายคน  ในความผิดอันเดียวกัน ใน
กรณีเดียวกัน  ให้ศาลลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคล
	มาตรา 32 ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า  ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด  ให้ริบเสียทั้งสิ้น  ไม่ว่า
เป็นของผู้กระทำความผิด   และมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
	มาตรา 33 ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว
ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย  คือ
	(1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด  หรือ
	(2) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด
	เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
	มาตรา 34 บรรดาทรัพย์สิน
	(1) ซึ่งได้ให้ตามความใน มาตรา 143  มาตรา 144  มาตรา 149  มาตรา 150  มาตรา
167  มาตรา 201 หรือ มาตรา 202 หรือ
	(2) ซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระทำความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระทำความผิด
	ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็น เป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
	มาตรา 35 ทรัพย์สินซึ่งศาลพิพากษาให้ริบให้ตกเป็นของแผ่นดินแต่ศาลจะพิพากษาให้ทำให้ทรัพย์
สินนั้นใช้ไม่ได้หรือทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้
	มาตรา 36 ในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตาม มาตรา 33 หรือ มาตรา 34ไปแล้ว หากปรากฏในภาย
หลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่า  ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความ
ผิดก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำ
เสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องกระทำต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด
	มาตรา 37 ถ้าผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งทรัพย์สินที่ริบไม่ส่งภายในเวลาที่ศาลกำหนด   ให้ศาลมีอำนาจสั่งดังต่อไปนี้
	(1) ให้ยึดทรัพย์สินนั้น
	(2) ให้ชำระราคาหรือสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของผู้นั้นชดใช้ราคาจนเต็ม  หรือ
	(3) ในกรณีที่ศาลเห็นว่า  ผู้นั้นจะส่งทรัพย์สินที่สั่งให้ส่งได้แต่ไม่ส่งหรือชำระราคาทรัพย์
สินนั้นได้ แต่ไม่ชำระ ให้ศาลมีอำนาจกักขังผู้นั้นไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งแต่ไม่เกินหนึ่งปีแต่ถ้า
ภายหลังปรากฏแก่ศาลเอง  หรือโดยคำเสนอของผู้นั้นว่าผู้นั้นไม่สามารถส่งทรัพย์สินหรือชำระราคา
ได้  ศาลจะสั่งให้ปล่อยตัวผู้นั้นไปก่อนครบกำหนดก็ได้
	มาตรา 38 โทษให้เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิด
-
	ส่วนที่ 2
	วิธีการเพื่อความปลอดภัย
-
	มาตรา 39 วิธีการเพื่อความปลอดภัย  มีดังนี้
	(1) กักกัน
	(2) ห้ามเข้าเขตกำหนด
	(3) เรียกประกันทัณฑ์บน
	(4) คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล
	(5) ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง
	มาตรา 40 กักกัน คือ การควบคุมผู้กระทำความผิดติดนิสัยไว้ภายในเขตกำหนด เพื่อป้องกันการ
กระทำความผิด  เพื่อดัดนิสัยและเพื่อฝึกหัดอาชีพ
	มาตรา 41 ผู้ใดเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันมาแล้ว หรือเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำ
กว่าหกเดือนมาแล้ว  ไม่น้อยกว่าสองครั้งในความผิดดังต่อไปนี้ คือ
	(1) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ใน  มาตรา 209 ถึงมาตรา 216
	(2) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 217
ถึง มาตรา 224
	(3) ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 240  ถึง  มาตรา 246
	(4) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 276 ถึง มาตรา 286
	(5) ความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 288 ถึง มาตรา 290  มาตรา 292 ถึงมาตรา 294
	(6) ความผิดต่อร่างกาย  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 295 ถึง มาตรา 299
	(7) ความผิดต่อเสรีภาพ  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 309 ถึง มาตรา 320
	(8) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 334 ถึง มาตรา 340  มาตรา 354
และ มาตรา 357
	และภายในเวลาสิบปีนับแต่วันที่ผู้นั้นได้พ้นจากการกักกันหรือพ้นโทษแล้วแต่กรณี ผู้นั้น
ได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดในบรรดาที่ระบุไว้นั้นอีกจนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำ
กว่าหกเดือน  สำหรับการกระทำความผิดนั้น    ศาลอาจถือว่า    ผู้นั้นเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย
และจะพิพากษาให้กักกันมีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าสามปีและไม่เกินสิบปีก็ได้
	ความผิดซึ่งผู้กระทำได้กระทำในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีนั้น มิให้ถือเป็นความผิดที่
จะนำมาพิจารณากักกันตาม มาตรานี้*
	*วรรคสองแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
	มาตรา 42 ในการคำนวณระยะเวลากักกัน ให้นับวันที่ศาลพิพากษาเป็นวันเริ่มกักกัน แต่ถ้ายังมีโทษ
จำคุกหรือกักขังที่ผู้ต้องกักกันนั้นจะต้องรับอยู่  ก็ให้จำคุกหรือกักขังเสียก่อนและให้นับวันถัดจากวัน
ที่พ้นโทษจำคุกหรือพ้นจากการกักขังเป็นวันเริ่มกักกัน
	ระยะเวลากักกัน และการปล่อยตัวผู้ถูกกักกัน  ให้นำบทบัญญัติ มาตรา 21 มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
	มาตรา 43 การฟ้องขอให้กักกันเป็นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะ และจะขอรวมกันไปใน
ฟ้องคดีอันเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้กักกันหรือจะฟ้องภายหลังก็ได้
	มาตรา 44 ห้ามเข้าเขตกำหนด คือการห้ามมิให้เข้าไปในท้องที่หรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา
	มาตรา 45 เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษผู้ใด และศาลเห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ไม่
ว่าจะมีคำขอหรือไม่  ศาลอาจสั่งในคำพิพากษาว่าเมื่อผู้นั้นพ้นโทษตามคำพิพากษาแล้ว  ห้ามมิให้
ผู้นั้นเข้าเขตกำหนดเป็นเวลาไม่เกินห้าปี
	มาตรา 46 ถ้าความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงานอัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้าย
ให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือจะกระทำการใดให้เกิดความเสียหาย
แก่สิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติตามกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
ในการพิจารณาคดีความผิดใด ไม่ว่าศาลจะลงโทษผู้ถูกฟ้องหรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่า
ผู้ถูกฟ้องน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือจะกระทำความผิดให้
เกิดความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติตามกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
และทรัพยากรธรรมชาติ ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งผู้นั้นให้ทำทัณฑ์บนโดยกำหนดจำนวนเงินไม่เกินกว่า
ห้าหมื่นบาทว่าผู้นั้นจะไม่ก่อเหตุร้ายหรือจะไม่กระทำความผิดดังกล่าวแล้วตลอดเวลาที่ศาลกำหนด
แต่ไม่เกินสองปี และจะสั่งให้มีประกันด้วยหรือไม่ก็ได้
	ถ้าผู้นั้นไม่ยอมทำทัณฑ์บนหรือหาประกันไม่ได้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งกักขังผู้นั้นจนกว่า
จะทำทัณฑ์บนหรือหาประกันได้ แต่ไม่ให้กักขังเกินกว่าหกเดือน หรือจะสั่งห้ามผู้นั้นเข้าใน
เขตกำหนดตามมาตรา 45 ก็ได้
	การกระทำของผู้ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีมิให้อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติตามมาตรานี้”
	*แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
	มาตรา 47 ถ้าผู้ทำทัณฑ์บนตามความใน มาตรา 46 กระทำผิดทัณฑ์บน  ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้นั้น
ชำระเงินไม่เกินจำนวนที่ได้กำหนดไว้ในทัณฑ์บน  ถ้าผู้นั้นไม่ชำระให้นำบทบัญญัติใน มาตรา 29
และ มาตรา 30 มาใช้บังคับ
	มาตรา 48 ถ้าศาลเห็นว่า  การปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน  ซึ่งไม่ต้องรับโทษ
หรือได้รับการลดโทษตาม มาตรา 65 จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน  ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมตัว
ไว้ในสถานพยาบาลก็ได้   และคำสั่งนี้ศาลจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้
	มาตรา 49 ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก  หรือพิพากษาว่า   มีความผิดแต่รอการกำหนดโทษ
หรือรอการลงโทษบุคคลใด  ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเสพย์สุรา
เป็นอาจิณ  หรือการเป็นผู้ติดยาเสพย์ติดให้โทษ  ศาลจะกำหนดในคำพิพากษาว่าบุคคลนั้นจะต้อง
ไม่เสพย์สุรา ยาเสพย์ติดให้โทษอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างภายในระยะเวลาไม่เกินสองปี
นับแต่วันพ้นโทษ  หรือวันปล่อยตัวเพราะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษก็ได้
	ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวในวรรคแรก  ไม่ปฏิบัติตามที่ศาลกำหนด  ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุม
ตัวไว้ในสถานพยาบาลเป็นเวลาไม่เกินสองปีก็ได้
	มาตรา 50 เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษผู้ใด  ถ้าศาลเห็นว่าผู้นั้นกระทำความผิดโดยอาศัยโอกาสจาก
การประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ  หรือเนื่องจากการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ และเห็นว่าหากผู้นั้น
ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพนั้นต่อไป  อาจจะกระทำความผิดเช่นนั้นขึ้นอีก  ศาลจะสั่งไว้ในคำ
พิพากษาห้ามการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพนั้นมีกำหนดเวลาไม่เกินห้าปีนับแต่วันพ้นโทษไปแล้ว
ก็ได้
-
	ส่วนที่ 3
	วิธีเพิ่มโทษ ลดโทษ และการรอการลงโทษ
-
	มาตรา 51 ในการเพิ่มโทษ  มิให้เพิ่มขึ้นถึงประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกเกินห้าสิบปี
	*พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 3
	มาตรา 52 ในการลดโทษประหารชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลด มาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้ลด
ดังต่อไปนี้
	(1) ถ้าจะลดหนึ่งในสามให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต
	(2) ถ้าจะลดกึ่งหนึ่ง  ให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ยี่สิบห้าปีถึงห้าสิบปี 
	มาตรา 53 ในการลดโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลด มาตรา ส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลง
ให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุกห้าสิบปี
	**มาตรา 52,53 แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2514 ข้อ 1
	มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลงให้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเสีย
ก่อนแล้วจึงเพิ่มหรือลดถ้ามีทั้งการเพิ่มและการลดโทษที่จะลง  ให้เพิ่มก่อนแล้วจึงลดจากผลที่เพิ่ม
แล้วนั้น  ถ้าส่วนของการเพิ่มเท่ากับหรือมากกว่าส่วนของการลดและศาลเห็นสมควรจะไม่เพิ่มไม่ลดก็ได้
	มาตรา 55 ถ้าโทษจำคุกที่ผู้กระทำความผิดจะต้องรับมีกำหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่า
ศาลจะกำหนดโทษจำคุกให้น้อยลงอีกก็ได้  หรือถ้าโทษจำคุกที่ผู้กระทำความผิดจะต้องรับมีกำหนด
เวลาเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่าและมีโทษปรับด้วย  ศาลจะกำหนดโทษจำคุกให้น้อยลง หรือจะ
ยกโทษจำคุกเสีย คงให้ปรับแต่อย่างเดียวก็ได้
	มาตรา 56 ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุก
ไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น
	(1) ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือ
	(2) เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิด
ลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
	(3) เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่พ้นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่าห้าปี แล้วมากระทำความผิดอีก
โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
	และเมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ
ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกความผิด และพยายาม
บรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษ
หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่าง
เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา
โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้
	เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจกำหนดข้อเดียว
หรือหลายข้อตามควรแก่กรณีได้ ดังต่อไปนี้
	(1) ให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบถาม
แนะนำ ช่วยเหลือ หรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ หรือ
จัดให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์
	(2) ให้ฝึกหัดหรือทำงานอาชีพอันเป็นกิจจะลักษณะ
	(3) ให้ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนอง
เดียวกันอีก
	(4) ให้ไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษ ความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจ
หรือความเจ็บป่วยอย่างอื่น ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด
	(5) ให้เข้ารับการฝึกอบรม ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด
	(6) ห้ามออกนอกสถานที่อยู่อาศัย หรือห้ามเข้าในสถานที่ใดในระหว่างเวลาที่ศาลกำหนด
ทั้งนี้ จะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถใช้ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางด้วยก็ได้
	(7) ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเยียวยาความเสียหายโดยวิธีอื่นให้แก่ผู้เสียหายตามที่
ผู้กระทำความผิดและผู้เสียหายตกลงกัน
	(8) ให้แก้ไขฟื้นฟูหรือเยียวยาความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม
หรือชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการดังกล่าว
	(9) ให้ทำทัณฑ์บนโดยกำหนดจำนวนเงินตามที่ศาลเห็นสมควรว่าจะไม่ก่อเหตุร้าย หรือก่อให้เกิด
ภยันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สิน
	(10) เงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู หรือป้องกันมิให้ผู้กระทำ
ความผิดกระทำหรือมีโอกาสกระทำความผิดขึ้นอีก หรือเงื่อนไขในการเยียวยาผู้เสียหายตามที่เห็นสมควร
	เงื่อนไขตามที่ศาลได้กำหนดตามความในวรรคสองนั้น ถ้าภายหลังความปรากฏแก่ศาลตามคำขอ
ของผู้กระทำความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น ผู้อนุบาลของผู้นั้น พนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานว่า
พฤติการณ์ที่เกี่ยวแก่การควบคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อศาลเห็นสมควร
ศาลอาจแก้ไขเพิ่มเติมหรือเพิกถอนข้อหนึ่งข้อใดเสียก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขข้อใดตามที่กล่าวในวรรคสอง
ที่ศาลยังมิได้กำหนดไว้เพิ่มเติมขึ้นอีกก็ได้ หรือถ้ามีการกระทำผิดทัณฑ์บนให้นำบทบัญญัติมาตรา 47
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
	*มาตรา 56 แก้ไขทั้งมาตรา โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) 
พ.ศ. 2559
	มาตรา 57 เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของพนักงานอัยการหรือเจ้า
พนักงานว่า  ผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ศาลกำหนดตาม มาตรา 56 ศาลอาจ
ตักเตือนผู้กระทำความผิด  หรือจะกำหนดการลงโทษที่ยังไม่ได้กำหนดหรือลงโทษซึ่งรอไว้นั้นก็ได้
	มาตรา 58 เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง  หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า
ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตาม มาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่
ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ  และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น
ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง  หรือ
บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี
	แต่ถ้าภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดตาม มาตรา 56 ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวมา
ในวรรคแรก ให้ผู้นั้นพ้นจากการที่จะถูกกำหนดโทษหรือถูกลงโทษในคดีนั้น แล้วแต่กรณี
	**แก้ไขโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2532
-
	หมวด 4
	ความรับผิดในทางอาญา
-
	มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำความ
โดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่
กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
	กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำ
ประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
	ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อ
ผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
	กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนาแต่กระทำโดยปราศจากความ
ระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความ
ระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
	การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้อง
กระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
	มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาด
ไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมาย
บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นเพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคล
ที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
	มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด ผู้นั้นจะ
ยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
	มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้อง
รับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้
กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
	ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่ง มาตรา 59   หรือความสำคัญผิดว่ามี
อยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิด
ฐานกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทำนั้นผู้กระทำจะต้อง
รับโทษแม้กระทำโดยประมาท
	บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
	มาตรา 63 ถ้าผลของการกระทำความผิดใดทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทำ
ความผิดนั้นต้องเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้
	มาตรา 64 บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ แต่ถ้าศาล
เห็นว่า ตามสภาพและพฤติการณ์ ผู้กระทำความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้น
เป็นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ้าศาลเชื่อว่าผู้กระทำไม่รู้ว่า
กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้นศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
	มาตรา 65 ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมี
จิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือนผู้นั้น   ไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
	แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง   หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง
ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความ
ผิดนั้นเพียงใดก็ได้
	มาตรา 66 ความมึนเมาเพราะเสพย์สุราหรือสิ่งเมาอย่างอื่นจะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวตาม มาตรา 65 ไม่
ได้ เว้นแต่ความมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพย์ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมา หรือได้เสพย์โดยถูกขืน
ใจให้เสพย์และได้กระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้  ผู้
กระทำความผิดจึงจะได้รับยกเว้นโทษสำหรับความผิดนั้น  แต่ถ้าผู้นั้นยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง
หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
เพียงใดก็ได้
	มาตรา 67 ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
	(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง หรือขัดขืนได้ หรือ
	(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยง
ให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
	ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว   ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจาก
การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ
การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด
	มาตรา 69 ในกรณีที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 67 และ มาตรา 68 นั้น  ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควร
แก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน  ศาล
จะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้  แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้น
จากความตื่นเต้น ความตกใจหรือความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้
	มาตรา 70 ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน  แม้คำสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้าผู้กระทำมี
หน้าที่หรือเชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ เว้นแต่จะรู้ว่าคำสั่งนั้นเป็น
คำสั่งซึ่งมิชอบด้วยกฎหมาย
	มาตรา 71 ความผิดตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 334 ถึง มาตรา 336 วรรคแรก และ มาตรา 341 ถึง
มาตรา 364 นั้น ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา หรือภริยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ
	ความผิดดังระบุมานี้ ถ้าเป็นการกระทำที่ผู้บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน ผู้สืบสันดาน
กระทำต่อผู้บุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกัน แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้
เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้นศาลจะลงโทษ
น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
	มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิด
ต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
	มาตรา 73 เด็กอายุยังไม่เกินสิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ
	ให้พนักงานสอบสวนส่งตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการ
คุ้มครองเด็ก เพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
	*แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
	มาตรา 74 เด็กอายุกว่าสิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็น
ความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้
	(1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา
ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้
	(2) ถ้าศาลเห็นว่า บิดา มารดา หรือผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กนั้นได้ ศาลจะมีคำสั่งให้
มอบตัวเด็กนั้นให้แก่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง
ระวังเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกำหนดซึ่งต้องไม่เกินสามปีและกำหนดจำนวนเงินตามที่
เห็นสมควรซึ่งบิดา มารดา หรือผู้ปกครองจะต้องชำระต่อศาลไม่เกินครั้งละหนึ่งหมื่นบาท ในเมื่อ
เด็กนั้นก่อเหตุร้ายขึ้น
	ถ้าเด็กนั้นอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และศาลเห็นว่าไม่สมควร
จะเรียกบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมาวางข้อกำหนดดังกล่าวข้างต้น ศาลจะเรียกตัวบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่
มาสอบถามว่า จะยอมรับข้อกำหนดทำนองที่บัญญัติไว้สำหรับบิดา มารดา หรือผู้ปกครองดังกล่าวมา
ข้างต้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ยอมรับข้อกำหนดเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลมีคำสั่งมอบตัวเด็ก
ให้แก่บุคคลนั้นไปโดยวางข้อกำหนดดังกล่าว
	(3) ในกรณีที่ศาลมอบตัวเด็กให้แก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ตาม (2)
ศาลจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้นเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 56 ด้วยก็ได้
ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลแต่งตั้งพนักงานคุมประพฤติหรือพนักงานอื่นใดเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้น
	(4) ถ้าเด็กนั้นไม่มีบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หรือมีแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถดูแลเด็กนั้นได้
หรือถ้าเด็กอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และบุคคลนั้นไม่ยอมรับข้อกำหนด
ดังกล่าวใน (2) ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้อยู่กับบุคคลหรือองค์การที่ศาลเห็นสมควรเพื่อดูแล
อบรม และสั่งสอนตามระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ในเมื่อบุคคลหรือองค์การนั้นยินยอม ในกรณีเช่นว่านี้
ให้บุคคลหรือองค์การนั้นมีอำนาจเช่นผู้ปกครองเฉพาะเพื่อดูแล อบรม และสั่งสอน รวมตลอดถึงการ
กำหนดที่อยู่และการจัดให้เด็กมีงานทำตามสมควร หรือให้ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามกฎหมาย
ว่าด้วยการนั้นก็ได้ หรือ
	(5) ส่งตัวเด็กนั้นไปยังโรงเรียน หรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อฝึก
และอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่อย่าให้เกินกว่าที่เด็กนั้นจะมีอายุครบสิบแปดปี
	คำสั่งของศาลดังกล่าวใน (2) (3) (4) และ (5) นั้น ถ้าในขณะใดภายในระยะเวลาที่ศาล
กำหนดไว้ ความปรากฎแก่ศาลโดยศาลรู้เอง หรือตามคำเสนอของผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ
หรือบุคคลหรือองค์การที่ศาลมอบตัวเด็กเพื่อดูแลอบรมและสั่งสอน หรือเจ้าพนักงานว่า พฤติการณ์
เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งนั้น หรือมีคำสั่งใหม่
ตามอำนาจในมาตรานี้
	*วรรคหนึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
	มาตรา 75 ผู้ใดอายุกว่าสิบห้าปีแต่ต่ำกว่าสิบแปดปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
ให้ศาลพิจารณาถึงความรู้ผิดชอบและสิ่งอื่นทั้งปวงเกี่ยวกับผู้นั้น ในอันที่จะควรวินิจฉัย
ว่าสมควรพิพากษาลงโทษผู้นั้นหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษก็ให้จัดการตาม
มาตรา 74 หรือถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษ ก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับ
ความผิดลงกึ่งหนึ่ง
	มาตรา 76 ผู้ใดอายุตั้งแต่สิบแปดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้
	*มาตรา 75,76 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
	มาตรา 77 ในกรณีที่ศาลวางข้อกำหนดให้บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ระวัง
เด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตามความใน มาตรา 74 (2) ถ้าเด็กนั้นก่อเหตุร้ายขึ้นภายในเวลาในข้อ
กำหนดศาลมีอำนาจบังคับบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่  ให้ชำระเงินไม่เกิน
จำนวนในข้อกำหนดนั้น  ภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควร ถ้าบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็ก
นั้นอาศัยอยู่ไม่ชำระเงิน  ศาลจะสั่งให้ยึดทรัพย์สินของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กนั้น
อาศัยอยู่เพื่อใช้เงินที่จะต้องชำระก็ได้
	ในกรณีที่ศาลได้บังคับให้บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ชำระเงิน
ตามข้อกำหนดแล้วนั้น ถ้าศาลมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งที่ได้วางข้อกำหนดนั้นเป็นอย่างอื่นตาม
ความใน มาตรา 74 วรรคท้าย  ก็ให้ข้อหนดนั้นคงใช้บังคับได้ต่อไปจนสิ้นเวลาที่กำหนดไว้ในข้อ
กำหนดนั้น
	มาตรา 78 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ  ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่  ถ้าศาลเห็นสมควร  จะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของ
โทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้
	เหตุบรรเทาโทษนั้นได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา  ตกอยู่ในความทุกข์
อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้นลุแก่
โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่า
มีลักษณะทำนองเดียวกัน
	มาตรา 79 ในคดีที่มีโทษปรับสถานเดียว  ถ้าผู้ที่ต้องหาว่ากระทำความผิด  นำค่าปรับในอัตราอย่าง
สูงสำหรับความผิดนั้นมาชำระก่อนที่ศาลเริ่มต้นสืบพยาน  ให้คดีนั้นเป็นอันระงับไป
-
	หมวด 5
	การพยายามกระทำความผิด
-
	มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำ
นั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
	ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมาย
กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
	มาตรา 81 ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่การกระทำนั้นไม่
สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมาย
กระทำต่อให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทำความผิด แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมาย
กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
	ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำไปโดยความเชื่ออย่างงมงาย ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้
	มาตรา 82 ผู้ใดพยายามกระทำความผิด หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่
ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น แต่ถ้าการที่ได้
กระทำไปแล้วต้องบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ๆ
-
	หมวด 6
	ตัวการและผู้สนับสนุน
-
	มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำ
ความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
	มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน
หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด
	ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด
ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
	ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ และถ้าผู้ถูกใช้เป็นบุคคล
อายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ ลูกจ้างหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใช้ ผู้ที่มีฐานะยากจน
หรือผู้ต้องพึ่งพาผู้ใช้เพราะเหตุป่วยเจ็บหรือไม่ว่าทางใด ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้ใช้กึ่งหนึ่งของโทษที่ศาล
กำหนดสำหรับผู้นั้น
	*มาตรา 84 แก้ไขทั้งมาตราโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) 
พ.ศ. 2559
	มาตรา 85 ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีกำหนด
โทษไม่ต่ำกว่าหกเดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
	ถ้าได้มีการกระทำความผิดเพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรค
แรก ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ
	มาตรา 85/1 ถ้าผู้ถูกใช้ตามมาตรา 84 หรือผู้กระทำตามคำโฆษณา หรือประกาศแก่
บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา 85 ได้ให้ข้อมูลสำคัญอันเป็นการเปิดเผยถึงการกระทำความผิด
ของผู้ใช้ให้กระทำความผิดหรือผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และเป็นประโยชน์
อย่างยิ่งต่อการดำเนินคดีแก่บุคคลดังกล่าว ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับ
ความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
	*มาตรา 85/1 เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) 
พ.ศ. 2559
	มาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่น
กระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือ
ให้ความสะดวกนั้นก็ตาม   ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดต้องระวางโทษสองในสามส่วน
ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
	มาตรา 87 ในกรณีที่มีการกระทำความผิดเพราะมีผู้ใช้ให้กระทำตาม มาตรา 84 เพราะมีผู้โฆษณา
หรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตาม มาตรา 85 หรือโดยมีผู้สนับสนุนตาม มาตรา
86 ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้กระทำได้กระทำไปเกินขอบเขตที่ใช้ หรือที่โฆษณา หรือประกาศ  หรือ
เกินไปจากเจตนาของผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้
กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับ
ความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้หรือที่โฆษณาหรือประกาศ  หรืออยู่ในขอบเขตแห่งเจตนาของผู้
สนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น แต่ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได้ว่าอาจเกิดการกระทำ
ความผิดเช่นที่เกิดขึ้นนั้นได้จากการใช้การโฆษณาหรือประกาศ หรือการสนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ
ความผิด   ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำ
ความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้น
	ในกรณีที่ผู้ถูกใช้ ผู้กระทำตามคำโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด
หรือตัวการในความผิดจะต้องรับผิดทางอาญามีกำหนดโทษสูงขึ้น  เพราะอาศัยผลที่เกิดจากการ
กระทำความผิดผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด
หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณีต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีกำหนดโทษ
สูงขึ้นนั้นด้วยแต่ถ้าโดยลักษณะของความผิด ผู้กระทำจะต้องรับผิดทางอาญามีกำหนดโทษสูงขึ้น
เฉพาะเมื่อผู้กระทำต้องรู้ หรืออาจเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลเช่นนั้นขึ้น   ผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
จะต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีกำหนดโทษสูงขึ้นก็เฉพาะเมื่อตนได้รู้  หรืออาจเล็งเห็นได้ว่า
จะเกิดผลเช่นที่เกิดขึ้นนั้น
	มาตรา 88 ถ้าความผิดที่ได้ใช้ ที่ได้โฆษณา   หรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำ  หรือที่ได้
สนับสนุนให้กระทำ  ได้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำความผิด    แต่เนื่องจากการเข้าขัดขวางของผู้ใช้
ผู้โฆษณาหรือประกาศหรือผู้สนับสนุน  ผู้กระทำได้กระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่
การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้ใช้หรือผู้โฆษณาหรือประกาศคงรับผิดเพียงที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 84
วรรคสอง หรือ มาตรา 85 วรรคแรก แล้วแต่กรณี ส่วนผู้สนับสนุนนั้นไม่ต้องรับโทษ
	มาตรา 89 ถ้ามีเหตุผลส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดคนใด  จะ
นำเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทำความผิดคนอื่นในการกระทำความผิดนั้นด้วยไม่ได้  แต่ถ้าเหตุอันควรยก
เว้นโทษ  ลดโทษหรือเพิ่มโทษเป็นเหตุในลักษณะคดี  จึงให้ใช้แก่ผู้กระทำความผิดนั้นด้วยกันทุกคน
-
	หมวด 7
	การกระทำความผิดหลายบทหรือหลายกระทง
-
	มาตรา 90 เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบท
ที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด
	มาตรา 91 เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุก
กรรมเป็นกระทงความผิดไปแต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลด มาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็
ตาม  เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว  โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดดังต่อไปนี้
	(1) สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
	(2) ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่
ไม่เกินสิบปี
	(3) ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้น
ไป  เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
	**พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
-
	หมวด 8
	การกระทำความผิดอีก
-
	มาตรา 92 ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดใด ๆ อีกในระหว่าง
ที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี  ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษก็ดี หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้ง
หลังถึงจำคุกก็ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้นั้นหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง
	มาตรา 93 ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก  ถ้าและได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด
ที่จำแนกไว้ในอนุ มาตราต่อไปนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันอีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี
ภายในเวลาสามปีนับแต่วันพ้นโทษก็ดี ถ้าความผิดครั้งแรกเป็นความผิดซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจำ
คุกไม่น้อยกว่าหกเดือน หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจำคุกก็ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้นั้นกึ่ง
หนึ่งของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง
	(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 107 ถึงมาตรา 135
	(2) ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 136 ถึง มาตรา 146
	(3) ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 147 ถึง มาตรา 166
	(4) ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 167 ถึง มาตรา 192 
และ มาตรา 194
	(5) ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 200 ถึง มาตรา 204
	(6) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 209 ถึง มาตรา 216
	(7) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 217
ถึง มาตรา 224  มาตรา 226 ถึง มาตรา 234  และ มาตรา 236 ถึง มาตรา 238
	(8) ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 240 ถึง มาตรา 249 ความผิด
เกี่ยวกับดวงตราแสตมป์และตั๋วตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 250 ถึง มาตรา 261 และความผิดเกี่ยว
กับเอกสาร ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 264 ถึง มาตรา 269
	(9) ความผิดเกี่ยวกับการค้า  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 270 ถึง มาตรา 275
	(10) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 276 ถึง มาตรา 285
	(11) ความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 288 ถึง มาตรา 290 และ มาตรา 294
ความผิดต่อร่างกาย  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 295 ถึง  มาตรา 299 ความผิดฐานทำให้แท้งลูก
ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 301 ถึง มาตรา 303 และความผิดฐานทอดทิ้งเด็กคนป่วยเจ็บ หรือคน
ชรา  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 306 ถึง มาตรา 308
	(12) ความผิดต่อเสรีภาพ  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 309  มาตรา 310 และ มาตรา 312
ถึง มาตรา 320
	 (13) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 334  ถึง มาตรา 365
	มาตรา 94 ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซึ่งผู้กระทำ
ได้กระทำในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีนั้น ไม่ว่าจะได้กระทำในครั้งก่อนหรือครั้งหลัง ไม่ถือว่าเป็น
ความผิดเพื่อการเพิ่มโทษตามความในหมวดนี้
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2551
-
	หมวด 9
	อายุความ
-
	มาตรา 95 ในคดีอาญา  ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้
นับแต่วันกระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความ
	(1)  ยี่สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิตจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกยี่สิบปี
	(2)  สิบห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าเจ็ดปี   แต่ยังไม่ถึงยี่สิบปี
	(3)  สิบปี  สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งปีถึงเจ็ดปี
	(4)  ห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งเดือนถึงหนึ่งปี
	(5)  หนึ่งปี  สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งเดือนลงมา  หรือต้องระวาง
โทษอย่างอื่น
	ถ้าได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลแล้ว  ผู้กระทำความผิดหลบหนีหรือวิกล
จริต  และศาลสั่งงดการพิจารณาไว้จนเกินกำหนดดังกล่าวแล้วนับแต่วันที่หลบหนีหรือวันที่ศาลสั่ง
งดการพิจารณา   ก็ให้ถือว่าเป็นอันขาดอายุความเช่นเดียวกัน
	มาตรา 96 ภายใต้บังคับ มาตรา 95 ในกรณีความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภาย
ในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความ
	มาตรา 97 ในการฟ้องขอให้กักกัน  ถ้าจะฟ้องภายหลังการฟ้องคดีอันเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้
กักกัน  ต้องฟ้องภายในกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ฟ้องคดีนั้น  มิฉะนั้น  เป็นอันขาดอายุความ
	มาตรา 98 เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้ใด   ผู้นั้นยังมิได้รับโทษก็ดี   ได้รับโทษแต่ยังไม่
ครบถ้วนโดยหลบหนีก็ดี  ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมาเพื่อรับโทษนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือนับ
แต่วันที่ผู้กระทำความผิดหลบหนี  แล้วแต่กรณี เกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ เป็นอันล่วงเลยการลง
โทษ จะลงโทษผู้นั้นมิได้
	(1) ยี่สิบปี  สำหรับโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกยี่สิบปี
	(2) สิบห้าปี  สำหรับโทษจำคุกกว่าเจ็ดปีแต่ยังไม่ถึงยี่สิบปี
	(3) สิบปี  สำหรับโทษจำคุกกว่าหนึ่งปีถึงเจ็ดปี
	(4) ห้าปี สำหรับโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีลงมาหรือโทษอย่างอื่น
	มาตรา 99 การยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับหรือ
การกักขังแทนค่าปรับ ถ้ามิได้ทำภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด จะยึดทรัพย์สิน
อายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สิน หรือกักขังไม่ได้
	ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในกรณีการกักขังแทนค่าปรับซึ่งทำต่อเนื่องกับการลงโทษจำคุก
	*มาตรา 99 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 100 เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้กักกันผู้ใด  ถ้าผู้นั้นยังมิได้รับการกักกันก็ดี  ได้รับการกัก
กันแต่ยังไม่ครบถ้วนโดยหลบหนีก็ดี ถ้าพ้นกำหนดสามปีนับแต่วันที่พ้นโทษโดยได้รับโทษตามคำ
พิพากษาแล้วหรือโดยล่วงเลยการลงโทษ  หรือนับแต่วันที่ผู้นั้นหลบหนีระหว่างเวลาที่ต้องกักกันเป็น
อันล่วงเลยการกักกัน จะกักกันผู้นั้นไม่ได้
	มาตรา 101 การบังคับตามคำสั่งของศาลตามความใน มาตรา 46 หรือการร้องขอให้ศาลสั่งให้ใช้เงิน
เมื่อผู้ทำทัณฑ์บนประพฤติผิดทัณฑ์บนตามความใน มาตรา 47 นั้น ถ้ามิได้บังคับหรือร้องขอภายใน
กำหนดสองปีนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง หรือนับแต่วันที่ผู้ทำทัณฑ์บนประพฤติผิดทัณฑ์บนจะบังคับ
หรือร้องขอมิได้
-
	ลักษณะ 2
	บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดลหุโทษ
-
	มาตรา 102 ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับ
ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	(*มาตรา 102 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558)
	มาตรา 103 บทบัญญัติใน ลักษณะ 1 ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดลหุโทษด้วย  เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ใน
สาม มาตราต่อไปนี้
	มาตรา 104 การกระทำความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้  แม้กระทำโดยไม่มีเจตนาก็เป็นความ
ผิด เว้นแต่ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น
	มาตรา 105 ผู้ใดพยายามกระทำความผิดลหุโทษ   ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	มาตรา 106 ผู้สนับสนุนในความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ
-
	ภาค 2
	ความผิด
-
	ลักษณะ 1
	 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
-
	หมวด 1
	ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
-
	มาตรา 107 พระชนม์พระมหากษัตริย์  ต้องระวางโทษประหารชีวิต
	ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น  ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์หรือรู้ว่ามีผู้จะ
ปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 108 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์  หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษ
ประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ผู้กระทำต้องระวางโทษ
ประหารชีวิต
	ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระ
มหากษัตริย์ หรือรู้ว่ามีผู้จะกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์
กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี
	มาตรา 109 ผู้ใดปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท  หรือฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 
ต้องระวางโทษประหารชีวิต
	ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือ
เพื่อฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือจะฆ่า
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
สิบสองปีถึงยี่สิบปี
	มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท 
หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์    ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุก
ตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี
	ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์หรือชีวิต ผู้กระทำต้องระวาง
โทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระ
ราชินีหรือรัชทายาทหรือต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะ
ประทุษร้ายต่อพระองค์  หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือประทุษร้ายต่อร่างกาย  หรือ
เสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้  ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี
	มาตรา 111 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 107  ถึง มาตรา 110 ต้องระวาง
โทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
	มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัช
ทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
	**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 1
-
	หมวด 2
	ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
-
	มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย   เพื่อ
	(1)  ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
	(2)  ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารหรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้
ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
	(3)  แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
	ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุก ตลอดชีวิต
	มาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใดหรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ  หรือกระทำ
ความผิดใด  ๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏหรือรู้ว่ามีผู้จะเป็น
กบฎ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
	มาตรา 115 ผู้ใดยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ  ให้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้ก่อการ
กำเริบ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
	ถ้าความผิดนั้นได้กระทำลงโดยมุ่งหมายจะบ่อนให้วินัยและสมรรถภาพของกรมกองทหาร
หรือตำรวจเสื่อมทรามลง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
	มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา  หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำ
ภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ   หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
	(1)  เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือ
ใช้กำลังประทุษร้าย
	(2)  เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความ
ไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
	(3)  เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
	มาตรา 117 ผู้ใดยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน  การร่วมกันปิดงานงดจ้าง หรือการร่วมกันไม่
ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใด ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อ
บังคับรัฐบาลหรือเพื่อข่มขู่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้ใดทราบความมุ่งหมายดังกล่าวและเข้ามีส่วนหรือเข้าช่วยในการร่วมกันหยุดงาน  การ
ร่วมกันปิดงานงดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใด ๆ นั้น ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้ใดทราบความมุ่งหมายดังกล่าว และใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช่กำลังประทุษร้าย
หรือทำให้หวาดกลัวด้วยประการใด ๆ เพื่อให้บุคคลเข้ามีส่วนหรือเข้าช่วยในการร่วมกันหยุดงาน
การร่วมกันปิดงานงดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใด ๆ นั้น  
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 117 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
อาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 118 ผู้ใดกระทำการใด ๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยาม
ประเทศชาติ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี   หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 2
-
	หมวด 3
	ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร
-
	มาตรา 119 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่
ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหาร
ชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 120 ผู้ใดคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศ  ด้วยความประสงค์ที่
จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐหรือทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ  ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
	มาตรา 121 คนไทยคนใดกระทำการรบต่อประเทศ หรือเข้าร่วมเป็นข้าศึกของประเทศ  ต้องระวางโทษ
ประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 122 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่ออุปการะแก่การดำเนินการรบหรือการตระเตรียมการรบของข้าศึก
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี
	ถ้าการอุปการะนั้นเป็นการ
	(1) ทำให้ป้อม ค่าย สนามบิน ยานรบ ยานพาหนะทางคมนาคม  สิ่งที่ใช้ในการสื่อสาร
ยุทธภัณฑ์ เสบียงอาหารอู่เรืออาคาร  หรือสิ่งอื่นใดสำหรับใช้เพื่อการสงครามใช้การไม่ได้หรือตกไป
อยู่ในเงื้อมมือของข้าศึก
	(2) ยุยงทหารให้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ ก่อการกำเริบหนีราชการหรือละเมิดวินัย
	(3) กระทำจารกรรม นำหรือแนะทางให้ข้าศึก หรือ
	(4) กระทำโดยประการอื่นใดให้ข้าศึกได้เปรียบในการรบ
	ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 123 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อความเอกสารหรือสิ่งใด ๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับ
สำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
	มาตรา 124 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้หรือได้ไปซึ่งข้อความ  เอกสารหรือสิ่งใด ๆ อันปกปิด
ไว้เป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ     ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
	ถ้าความผิดนั้นได้กระทำในระหว่างประเทศอยู่ในการรบหรือการสงคราม ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี
	ถ้าความผิดดังกล่าวมาในสองวรรคก่อน  ได้กระทำเพื่อให้รัฐต่างประเทศได้รับประโยชน์
ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต   หรือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 125 ผู้ใดปลอม ทำเทียมขึ้น กักไว้  ซ่อนเร้น ปิดบัง  ยักย้ายทำให้เสียหาย ทำลาย หรือทำให้
สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารหรือแบบใด ๆ อันเกี่ยวกับส่วนได้เสียของรัฐในการระหว่าง
ประเทศ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
	มาตรา 126 ผู้ใดได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้กระทำกิจการของรัฐกับรัฐบาลต่างประเทศ ถ้าและ
โดยทุจริตไม่ปฏิบัติการตามที่ได้รับมอบหมายต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี
	มาตรา 127 ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกินสิบปี
	ถ้าเหตุร้ายเกิดขึ้นผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้ง
แต่สองปีถึงยี่สิบปี
	มาตรา 128 ผู้ใดตระเตรียมการ  หรือพยายามกระทำความผิดใด ๆ ในหมวดนี้   ต้องระวางโทษตามที่
บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น
	มาตรา 129 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดใด ๆ ในหมวดนี้   ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับ
ตัวการในความผิดนั้น
-
	หมวด 4
	ความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
-
	มาตรา 130 ผู้ใดทำร้ายร่างกายหรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของราชาธิบดี  ราชินี ราชสามี รัชทายาท
หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศซึ่งมีสัมพันธไมตรี  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี
	ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้นต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	มาตรา 131 ผู้ใดทำร้ายร่างกายหรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของผู้แทนรัฐต่างประเทศ  ซึ่งได้รับแต่งตั้ง
ให้มาสู่พระราชสำนักต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
	ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้นต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	มาตรา 132 ผู้ใดฆ่าหรือพยายามฆ่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดดังระบุไว้ใน มาตรา 130 หรือ มาตรา 131
ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท  ดูหมิ่นหรือแสดงอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท
หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพัน
บาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท  ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับ
แต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาท
ถึงหนึ่งหมื่นบาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 135 ผู้ใดกระทำการใด ๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐต่างประเทศ ซึ่งมี
สัมพันธไมตรี เพื่อเหยียดหยามรัฐนั้น  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**มาตรา 133,134,135 แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41
ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519
-
	ลักษณะ 1/1
	ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย
	** พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 มาตรา 4
-
	"มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้
	 (1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตราย
อย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ
	(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ
ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ
	(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของ
บุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ
	ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาล
ต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความ
เสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก
ตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท
	การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้
รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำ
ความผิดฐานก่อการร้าย
	"มาตรา 135/2 ผู้ใด
	(1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะ
กระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ
	(2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการ
ก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ
อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย
หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้
	ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึง
สองแสนบาท
	"มาตรา 135/3  ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา 135/1 หรือ
มาตรา 135/2 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นๆ
	"มาตรา 135/4  ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งมีมติของหรือประกาศภายใต้คณะมนตรี
ความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกำหนดให้เป็นคณะบุคคลที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายและ
รัฐบาลไทยได้ประกาศให้ความรับรองมติหรือประกาศดังกล่าวด้วยแล้ว ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท"
	**เพิ่มเติมลักษณะ 1/1 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546
-
	ลักษณะ 2
	ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง
-
	หมวด 1
	ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
-
	มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3
	มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 137 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 138 ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการ
ปฏิบัติการตามหน้าที่  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น  ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง
ประทุษร้าย  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่พันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 4
	มาตรา 139 ผู้ใดข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่  หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการ
ตามหน้าที่  โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือ
ปรับไม่เกินแปดหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 139 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 140 ถ้าความผิดตาม มาตรา 138 วรรคสอง หรือ มาตรา 139 ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือ
โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร  ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่   ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าความผิดตาม มาตรานี้ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ในสองวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง
	**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 3
	มาตรา 141 ผู้ใดถอน ทำให้เสียหาย ทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งตราหรือเครื่องหมายอันเจ้า
พนักงานได้ประทับหรือหมายไว้ที่สิ่งใด ๆ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่  เพื่อเป็นหลักฐานในการยึด
อายัดหรือรักษาสิ่งนั้น ๆ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 141 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 142 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์
สินหรือเอกสารใด ๆ อันเจ้าพนักงานได้ยึด รักษาไว้ หรือสั่งให้ส่ง เพื่อเป็นพยานหลักฐานหรือเพื่อ
บังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย  ไม่ว่าเจ้าพนักงานจะรักษาทรัพย์หรือเอกสารนั้นไว้เอง หรือสั่งให้
ผู้นั้นหรือผู้อื่นส่งหรือรักษาไว้ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 142 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 143 ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจพนักงาน  สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสมาชิกสภาจังหวัด
หรือสมาชิกสภาเทศบาล โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ
หรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 143 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 144 ผู้ใดให้  ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิก
สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการ
หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 144 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 145 ผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน  และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน  โดยตนเองมิได้เป็นเจ้า
พนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	เจ้าพนักงานผู้ใดได้รับคำสั่งมิให้ปฏิบัติการตามตำแหน่งหน้าที่ต่อไปแล้วยังฝ่าฝืนกระทำ
การใด ๆ ในตำแหน่งหน้าที่นั้น ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในวรรคแรกดุจกัน
	*มาตรา 145 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 146 ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติ
บัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล หรือไม่มีสิทธิใช้ยศ  ตำแหน่งเครื่อง
ราชอิสริยาภรณ์หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กระทำการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่า
ตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 146 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	หมวด 2
	ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
-
	มาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ ซื้อทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของ
ตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย  ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี   หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
	มาตรา 148 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใด
มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
ห้าปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาทหรือประหารชีวิต
	มาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐสมาชิกสภาจังหวัด  หรือสมาชิกสภา
เทศบาล  เรียก  รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่  ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
หรือประหารชีวิต
	มาตรา 150 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งโดยเห็นแก่ทรัพย์
สินหรือประโยชน์อื่นใดซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานใน
ตำแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี  หรือจำคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่สองพัน
บาทถึงสี่หมื่นบาท
	มาตรา 151 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดย
ทุจริต  อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ  เทศบาลสุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น  ต้องระวางโทษจำคุกตั้ง
แต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
	มาตรา 152 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์
สำหรับตนเองหรือผู้อื่นอันเนื่องด้วยกิจการนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  และปรับ
ตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	มาตรา 153 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน   มีหน้าที่จ่ายทรัพย์ จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์
สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	มาตรา 154 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร
ค่าธรรมเนียมหรือเงินอื่นใดโดยทุจริตเรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร  ค่าธรรมเนียมหรือ
เงินนั้นหรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดเพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร  หรือค่าธรรมเนียม
นั้นมิต้องเสียหรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุก
ตลอดชีวิต  และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
	มาตรา 155 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่กำหนดราคาทรัพย์สินหรือสินค้าใด ๆ เพื่อเรียกเก็บภาษี
อากรหรือค่าธรรมเนียมตามกฎหมายโดยทุจริตกำหนดราคาทรัพย์สินหรือสินค้านั้น  เพื่อให้ผู้มีหน้า
ที่เสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสียหรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย  ต้องระวางโทษจำ
คุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี  หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
	มาตรา 156 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีตามกฎหมาย  โดยทุจริต  แนะนำ หรือ
กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้มีการละเว้นการลงรายการในบัญชี ลงรายการเท็จใน
บัญชี แก้ไขบัญชี หรือซ่อนเร้น หรือทำหลักฐานในการลงบัญชีอันจะเป็นผลให้การเสียภาษีอากร
หรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสียหรือเสียน้อยกว่าที่จะต้องเสีย  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึง
ยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
	มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสีย
หายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่ง
ปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**มาตรา 147-มาตรา 157 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502
	มาตรา 158 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  ทำให้เสียหาย  ทำลายซ่อนเร้นเอาไปเสีย  หรือทำให้สูญหาย  หรือ
ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใดอันเป็นหน้าที่ของตนที่จะปกครองหรือรักษาไว้หรือยินยอม
ให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 158 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 159 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ดูแล  รักษาทรัพย์หรือเอกสารใด  กระทำการอันมิชอบด้วย
หน้าที่ โดยถอน  ทำให้เสียหายทำลาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์หรือโดยยินยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น
ซึ่งตราหรือเครื่องหมายอันเจ้าพนักงานได้ประทับหรือหมายไว้ที่ทรัพย์หรือเอกสารนั้นในการปฏิบัติ
ตามหน้าที่ เพื่อเป็นหลักฐานในการยึดหรือรักษาสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 159 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 160 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่รักษาหรือใช้ดวงตราหรือรอยตราของราชการหรือของผู้อื่น
กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้ดวงตราหรือรอยตรานั้น หรือโดยยินยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่น
นั้น  ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 160 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 161 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่ทำเอกสาร  กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษา
เอกสารกระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และ
ปรับไม่เกินสองแสนบาท
	*มาตรา 161 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 162 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร
กระทำการดังต่อไปนี้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
	(1) รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อ
หน้าตนอันเป็นความเท็จ
	(2) รับรองเป็นหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งซึ่งข้อความอันมิได้มีการแจ้ง
	(3) ละเว้นไม่จดข้อความซึ่งตนมีหน้าที่ต้องรับจด  หรือจดเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น หรือ
	(4) รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ
	ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 162 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 163 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่ในการไปรษณีย์โทรเลขหรือโทรศัพท์  กระทำการ
อันมิชอบด้วยหน้าที่ดังต่อไปนี้
	(1) เปิด หรือยอมให้ผู้อื่นเปิดจดหมายหรือสิ่งอื่นที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข
	(2) ทำให้เสียหาย  ทำลาย ทำให้สูญหาย  หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้เสียหาย ทำลายหรือทำ
ให้สูญหายซึ่งจดหมายหรือสิ่งอื่นที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข
	(3) กัก ส่งให้ผิดทาง  หรือส่งให้แก่บุคคลซึ่งรู้ว่ามิใช่เป็นผู้ควรรับซึ่งจดหมายหรือสิ่งอื่นที่
ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข หรือ
	(4) เปิดเผยข้อความที่ส่งทางไปรษณีย์ ทางโทรเลขหรือทางโทรศัพท์
	ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 163 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 164 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  รู้หรืออาจรู้ความลับในราชการกระทำโดยประการใด ๆ อันมิชอบ
ด้วยหน้าที่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
	*มาตรา 164 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 165 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งซึ่งได้สั่ง เพื่อ
บังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 165 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 166 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  ละทิ้งงานหรือกระทำการอย่างใด ๆเพื่อให้งานหยุดชะงักหรือเสีย
หาย  โดยร่วมกระทำการเช่นนั้นด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าความผิดนั้นได้กระทำลงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐ
บาลหรือเพื่อข่มขู่ประชาชน  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
	*มาตรา 166 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	ลักษณะ 3
	ความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม
-
	หมวด 1
	ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม
-
	มาตรา 167 ผู้ใดให้  ขอให้ หรือรับว่าให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่ง
ตุลาการ  พนักงานอัยการ  ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน  เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการหรือ
ประวิงการกระทำใดอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 167 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 168 ผู้ใดขัดขืนคำบังคับตามกฎหมายของพนักงานอัยการ  ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน ซึ่ง
ให้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 168 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 169 ผู้ใดขัดขืนคำบังคับตามกฎหมายของพนักงานอัยการผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวนซึ่งให้
ส่งหรือจัดการส่งทรัพย์หรือเอกสารใด  ให้สาบาน  ให้ปฏิญาณ  หรือให้ถ้อยคำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน 
หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 169 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 170 ผู้ใดขัดขืนหมายหรือคำสั่งของศาลให้มาให้ถ้อยคำให้มาเบิกความหรือให้ส่งทรัพย์ หรือ
เอกสารใดในการพิจารณาคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
	*มาตรา 170 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 171 ผู้ใดขัดขืนคำสั่งของศาลให้สาบาน ปฏิญาณให้ถ้อยคำหรือเบิกความ ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 171 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 172 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงาน
สอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 172 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 173 ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้า
พนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และ
ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
	*มาตรา 173 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 174 ถ้าการแจ้งข้อความตาม มาตรา 172 หรือ มาตรา 173 เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใด
ต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
	ถ้าการแจ้งตามความในวรรคแรก  เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับ
โทษหนักขึ้น  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
	*มาตรา 174 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 175 ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา  หรือว่ากระทำความ
ผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
	*มาตรา 175 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 176 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 175 แล้วลุแก่โทษต่อศาลและขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้อง
ก่อนมีคำพิพากษา  ให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้
	มาตรา 177 ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา  ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 177 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 178 ผู้ใดซึ่งเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ  พนักงานอัยการผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน
ให้แปลข้อความหรือความหมายใดแปลข้อความหรือความหมายนั้นให้ผิดไปในข้อสำคัญ 
ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 178 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 179 ผู้ใดทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบ
สวนคดีอาญาเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรง
กว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 179 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 180 ผู้ใดนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ถ้าเป็นพยานหลัก
ฐานในข้อสำคัญในคดีนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก  ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 180 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 181 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 174  มาตรา 175  มาตรา 177  มาตรา 178 หรือ
มาตรา 180
	(1) เป็นการกระทำในกรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สาม
ปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	(2) เป็นการกระทำในกรณีแห่งข้อหาว่า  ผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหาร
ชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงสามแสนบาท
	*มาตรา 181 (1) (2) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 182 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 177 หรือ มาตรา 178 แล้ว ลุแก่โทษและกลับแจ้งความ
จริงต่อศาลหรือเจ้าพนักงานก่อนจบคำเบิกความหรือการแปล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	มาตรา 183 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 177  มาตรา 178 หรือ  มาตรา 180 แล้วลุแก่โทษและ
กลับแจ้งความจริงต่อศาลหรือเจ้าพนักงานก่อนมีคำพิพากษา  และก่อนตนถูกฟ้องในความผิดที่ได้
กระทำ  ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
	มาตรา 184 ผู้ใดเพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ  หรือให้รับโทษน้อยลง  ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อน
เร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 184 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 185 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์
หรือเอกสารใดที่ได้ส่งไว้ต่อศาลหรือที่ศาลให้รักษาไว้ในการพิจารณาคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 185 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 186 ผู้ใดทำให้เสียหาย  ทำลาย  ซ่อนเร้น  เอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่ง
ทรัพย์สินที่ได้มีคำพิพากษาให้ริบต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
	*มาตรา 186 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 187 ผู้ใดเพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อน
เร้น เอาไปเสีย  หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัด  หรือที่ตนรู้ว่าน่าจะ
ถูกยึดหรืออายัด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 187 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 188 ผู้ใดทำให้เสียหาย  ทำลาย  ซ่อนเร้น  เอาไปเสีย  หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่ง
พินัยกรรมหรือเอกสารใดของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
	*มาตรา 188 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความ
ผิดลหุโทษ  เพื่อไม่ให้ต้องโทษโดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด
เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 189 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 190 ผู้ใดหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาลของพนักงานอัยการ ของพนักงาน
สอบสวน  หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือ
ปรับไม่เกินหกพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าความผิดดังกล่าวมาในวรรคแรกได้กระทำโดยแหกที่คุมขัง โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือ
โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าความผิดตาม มาตรานี้ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ในสองวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง
	มาตรา 191 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล ของพนักงานอัยการ 
ของพนักงานสอบสวน  หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หลุดพ้นจากการคุมขังไป
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังไปนั้นเป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาจากศาลหนึ่งศาลใดให้ลง
โทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไป หรือมีจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี  และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
	ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง
ประทุษร้าย หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด  ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าโทษที่
กฎหมายบัญญัติไว้ในสองวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง
	(**มาตรา 190,191แก้ไขโดย ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514)
	มาตรา 192 ผู้ใดให้พำนัก  ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดให้ผู้ที่หลบหนีจากการคุมขังตามอำนาจ
ของศาล ของพนักงานสอบสวนหรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 192 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 193 ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวมาใน มาตรา 184  มาตรา 189 หรือ มาตรา 192 เป็นการ
กระทำเพื่อช่วยบิดามารดา บุตร สามีหรือภริยาของผู้กระทำ   ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้
	มาตรา 194 ผู้ใดต้องคำพิพากษาห้ามเข้าเขตกำหนดตาม มาตรา 45 เข้าไปในเขตกำหนดนั้น 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 194 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 195 ผู้ใดหลบหนีจากสถานพยาบาลซึ่งศาลสั่งให้คุมตัวไว้ตามความใน มาตรา 49 ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 195 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 196 ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของศาลซึ่งได้สั่งไว้ในคำพิพากษาตาม มาตรา 50 ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 196 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 197 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย  ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายให้ประโยชน์ หรือรับว่าจะให้
ประโยชน์ เพื่อกีดกันหรือขัดขวางการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานเนื่องจากคำพิพากษาหรือคำ
สั่งของศาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
	*มาตรา 197 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 198 ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดีหรือกระทำการขัดขวาง
การพิจารณาหรือพิพากษาของศาล  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สอง
พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 5
	มาตรา 199 ผู้ใดลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือ
เหตุแห่งการตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 199 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	หมวด 2
	ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
-
	มาตรา 200 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีพนักงานสอบสวนหรือเจ้า
พนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่
กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษ
หรือให้รับโทษน้อยลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาท
ถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้นเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ รับ
โทษหนักขึ้นหรือต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต 
หรือจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
	*มาตรา 200 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 201 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการผู้ว่าคดี  หรือพนักงาน
สอบสวน  เรียก  รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อ
กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
หรือประหารชีวิต
	มาตรา 202 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน
กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด  ๆ ในตำแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดซึ่งตน
ได้เรียก  รับ  หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งใน  ตำแหน่งนั้น  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้า
ปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท   หรือประหารชีวิต
	*มาตรา 201,202 แก้ไขโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502
	มาตรา 203 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล
ป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ
ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 203 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 204 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน  มีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลดูแลผู้ที่ต้องคุมขังตามอำนาจของศาล
ของพนักงานสอบสวนหรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา กระทำด้วยประการใด ๆ ให้
ผู้ที่อยู่ในระหว่างคุมขังนั้นหลุดพ้นจากการคุมขังไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่
สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	ถ้าผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังไปนั้นเป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาของศาลหนึ่งศาลใดให้ลง
โทษประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไป หรือมีจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	*มาตรา 204 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 205 ถ้าการกระทำดังกล่าวใน มาตรา 204 เป็นการกระทำโดยประมาท ผู้กระทำต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังไปด้วยการกระทำโดยประมาทนั้นเป็นบุคคลที่ต้องคำ
พิพากษาของศาลหนึ่งศาลใดให้ลงโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไป
หรือมีจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้กระทำความผิดจัดให้ได้ตัวผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังคืนมาภายในสามเดือน ให้งด
การลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดนั้น
	*มาตรา 205 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	ลักษณะ 4
	ความผิดเกี่ยวกับศาสนา
-
	มาตรา 206 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด
อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น   ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สอง
พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	(**แก้ไขโดย คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6)
	มาตรา 207 ผู้ใดก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน  นมัสการ  หรือกระทำ
พิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 207 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 208 ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายแสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนา
ใดโดยมิชอบ  เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน
สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 208 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	ลักษณะ 5
	ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
-
	มาตรา 209 ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการ
อันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้าผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้น
ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
	*มาตรา 209 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 210 ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ใน
ภาค 2  นี้  และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน
เป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิตหรือ
จำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่
สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	*มาตรา 210 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 211 ผู้ใดประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร
เว้นแต่ผู้นั้นจะแสดงได้ว่าได้ประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร
	มาตรา 212 ผู้ใด
	(1) จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่อั้งยี่หรือซ่องโจร
	(2) ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร
	(3) อุปการะอั้งยี่หรือซ่องโจรโดยให้ทรัพย์  หรือโดยประการอื่น   หรือ
	(4) ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่หรือซ่องโจรได้มาโดยการกระทำความผิด
	ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ หรือซ่องโจรแล้วแต่กรณี
	มาตรา 213 ถ้าสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรคนหนึ่งคนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมาย
ของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น  สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิดหรืออยู่
ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้านในการตกลงให้กระทำความผิดนั้นและบรรดาหัวหน้า ผู้จัดการหรือ
ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น  ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน
	มาตรา 214 ผู้ใดประพฤติตนเป็นปกติธุระเป็นผู้จัดหาที่พำนักที่ซ่อนเร้นหรือที่ประชุมให้บุคคลซึ่ง
ตนรู้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดที่บัญญัติไว้ใน ภาค 2 นี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดนั้นเป็นการกระทำเพื่อช่วยบิดามารดา บุตร สามีหรือภริยาของผู้กระทำ 
ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้
	*มาตรา 214 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป  ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินหกเดือน 
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ  บรรดาผู้ที่กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า  หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 215 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตาม มาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 216 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	ลักษณะ 6
	ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
-
	มาตรา 217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และ
ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 217 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 218 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้
	(1) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย
	(2) โรงเรือน เรือหรือแพอันเป็นที่เก็บหรือที่ทำสินค้า
	(3) โรงมหรสพหรือสถานที่ประชุม
	(4) โรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  เป็นสาธารณสถานหรือเป็นที่สำหรับ
ประกอบพิธีกรรมตามศาสนา
	(5) สถานีรถไฟ ท่าอากาศยานหรือที่จอดรถหรือเรือสาธารณะ
	(6) เรือกลไฟ  หรือเรือยนต์ อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไปอากาศยาน หรือรถไฟที่ใช้ในการ
ขนส่งสาธารณะ
	ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
	**แก้ไขโดย ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ข้อ 5
	มาตรา 219 ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 217 หรือ มาตรา 218 ต้องระวาง
โทษเช่นเดียวกับพยายามกระทำความผิดนั้น ๆ
	มาตรา 220 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ  แม้เป็นของตนเอง  จนน่าจะเป็นอันตรายแก่
บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก  เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุ
ไว้ใน มาตรา 218 ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 218
	*มาตรา 220 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 221 ผู้ใดกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 221 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 222 ผู้ใดกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ดังกล่าวใน มาตรา 217 หรือ
มาตรา 218 ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
	มาตรา 223 ความผิดดังกล่าวใน มาตรา 217  มาตรา 218  มาตรา 220  มาตรา 221 หรือ มาตรา
222 นั้น ถ้าทรัพย์ที่เป็นอันตรายหรือที่น่าจะเป็นอันตรายเป็นทรัพย์ที่มีราคาน้อย และการกระทำนั้น
ไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 223 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 224 ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 217  มาตรา 218 มาตรา 221 หรือ มาตรา 222
เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก
ตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
	**แก้ไขโดย ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ข้อ 6
	มาตรา 225 ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท  และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือ
การกระทำโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 225 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 226 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่โรงเรือน  อู่เรือ ที่จอดรถหรือเรือสาธารณ ทุ่นทอดจอดเรือ
สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร เครื่องกล สายไฟฟ้า หรือสิ่งที่ทำไว้เพื่อป้องกันอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์
จนน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 226 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 227 ผู้ใดเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ   ควบคุมหรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอน
อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้นโดยประการ
ที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 227 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 228 ผู้ใดกระทำการด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เกิดอุทกภัย  หรือเพื่อให้เกิดขัดข้องแก่การใช้น้ำ
ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคถ้าการกระทำนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น  
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำผิดดังกล่าวในวรรคแรก เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น  
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 228 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 229 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ทางสาธารณ ประตู น้ำทำนบ เขื่อน อันเป็นส่วนของทาง
สาธารณ หรือที่ขึ้นลงของอากาศยาน อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 229 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 230 ผู้ใดเอาสิ่งใด ๆ กีดขวางทางรถไฟหรือทางรถราง  ทำให้รางรถไฟหรือรางรถรางหลุดหลวม
หรือเคลื่อนจากที่หรือกระทำแก่เครื่องสัญญาณจนน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การเดินรถไฟหรือรถราง 
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 230 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 231 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ประภาคาร ทุ่น สัญญาณหรือสิ่งอื่นใดซึ่งจัดไว้เป็น
สัญญาณเพื่อความปลอดภัยในการจราจรทางบก  การเดินเรือ  หรือการเดินอากาศ  อยู่ในลักษณะ
อันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจรทางบก การเดินเรือหรือการเดินอากาศ  ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 231 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 232 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ยานพาหนะดังต่อไปนี้ อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้
เกิดอันตรายแก่บุคคล
	(1) เรือเดินทะเล อากาศยาน รถไฟหรือรถราง
	(2) รถยนต์ที่ใช้สำหรับการขนส่งสาธารณ หรือ
	(3) เรือกลไฟ หรือเรือยนต์อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ที่ใช้สำหรับการขนส่งสาธารณ
	ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 232 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 233 ผู้ใดใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารเมื่อยานพาหนะนั้นมีลักษณะหรือมีการบรรทุก
จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 233 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 234 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่สิ่งที่ใช้ในการผลิต ในการส่งพลังงานไฟฟ้าหรือในการ
ส่งน้ำ  จนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 234 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 235 ผู้ใดกระทำการด้วยประการใด ๆ ให้การสื่อสารสาธารณทางไปรษณีย์  ทางโทรเลข ทาง
โทรศัพท์หรือทางวิทยุขัดข้อง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 235 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 236 ผู้ใดปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพย์หรือใช้ และ
การปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ หรือจำหน่าย หรือเสนอขายสิ่งเช่นว่านั้น
เพื่อบุคคลเสพย์หรือใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 236 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 237 ผู้ใดเอาของที่มีพิษหรือสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือลงในอาหาร หรือในน้ำซึ่ง
อยู่ในบ่อ สระหรือที่ขังน้ำใด  ๆ และอาหารหรือน้ำนั้นได้มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	*มาตรา 237 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 238 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 226 ถึง มาตรา 237 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่
สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	*มาตรา 238 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 239 ถ้าการกระทำดังกล่าวใน มาตรา 226 ถึง มาตรา 237 เป็นการกระทำโดยประมาท และ
ใกล้จะเป็นอันตรายแต่ชีวิตของบุคคลอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 239 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	ลักษณะ 7
	ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง
-
	หมวด 1
	ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา
-
	มาตรา 240 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา  ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตร หรือ
สิ่งอื่นใด  ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบ
สำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต 
หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	*มาตรา 240 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 241 ผู้ใดแปลงเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้
หรือให้อำนาจให้ออกใช้  หรือแปลงพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ
ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานแปลงเงินตรา 
ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	*มาตรา 241 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 242 ผู้ใดกระทำโดยทุจริตให้เหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้มีน้ำหนักลดลง  
ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักร  นำออกใช้หรือมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเหรียญกระษาปณ์ที่มีผู้
กระทำโดยทุจริตให้น้ำหนักลดลงตามความในวรรคแรก   ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	*มาตรา 242 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 243 ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งใด ๆ อันเป็นของปลอมตาม มาตรา 240 หรือของแปลง
ตาม มาตรา 241 ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรานั้น ๆ
	มาตรา 244 ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใด ๆ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมตาม มาตรา 240 หรือ
ของแปลงตาม มาตรา 241 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท
ถึงสามแสนบาท
	มาตรา 245 ผู้ใดได้มาซึ่งสิ่งใด ๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอมตาม มาตรา240 หรือของแปลงตาม มาตรา
241  ถ้าต่อมารู้ว่าเป็นของปลอมหรือของแปลงเช่นว่านั้น ยังขืนนำออกใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือ
ปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 246 ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงเงินตราไม่ว่าจะเป็นเหรียญกระษาปณ์
ธนบัตรหรือสิ่งใด ๆ ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือสำหรับปลอมหรือแปลงพันธบัตร
รัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ หรือมีเครื่องมือหรือวัตถุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ใน
การปลอมหรือแปลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท
	*มาตรา 244, 245, 246 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 247 ถ้าการกระทำดังกล่าวในหมวดนี้เป็นการกระทำเกี่ยวกับเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ
กระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลต่างประเทศออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือเกี่ยวกับ
พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษ
กึ่งหนึ่งของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
	มาตรา 248 ถ้าผู้กระทำความผิดตาม มาตรา 240  มาตรา 241 หรือ มาตรา 247 ได้กระทำความผิด
ตาม มาตราอื่นที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้อันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมหรือแปลงนั้นด้วย ให้ลงโทษผู้นั้น
ตาม มาตรา 240  มาตรา 241 หรือ มาตรา 247 แต่กระทงเดียว
	มาตรา 249 ผู้ใดทำบัตรหรือโลหธาตุอย่างใด ๆ ให้มีลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกับเงินตราไม่ว่า
จะเป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งใด ๆ ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้หรือพันธบัตร
รัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ หรือจำหน่ายบัตรหรือโลหธาตุเช่นว่านั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการจำหน่ายบัตรหรือโลหธาตุดังกล่าวในวรรคแรกเป็นการจำหน่ายโดยการนำออกใช้
ดังเช่นสิ่งใด ๆ ที่กล่าวในวรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 249 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
	หมวด 2
	ความผิดเกี่ยวกับดวงตรา  แสตมป์และตั๋ว
-
	มาตรา 250 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตราแผ่นดิน รอยตราแผ่นดิน หรือพระปรมาภิไธย ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	มาตรา 251 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตราหรือรอยตราของทบวงการเมือง  ขององค์การสาธารณ หรือ
ของเจ้าพนักงาน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 250, 251  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 252 ผู้ใดใช้ดวงตรา รอยตราหรือพระปรมาภิไธยดังกล่าวมาใน มาตรา 250 หรือ มาตรา 251
อันเป็นดวงตรา  รอยตราหรือพระปรมาภิไธยที่ทำปลอมขึ้น ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
	มาตรา 253 ผู้ใดได้มาซึ่งดวงตราหรือรอยตราดังกล่าวใน มาตรา 250 หรือ มาตรา 251 ซึ่งเป็นดวงตรา
หรือรอยตราอันแท้จริงและใช้ดวงตราหรือรอยตรานั้นโดยมิชอบในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นหรือ
ประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 250  หรือ มาตรา 251 นั้น
	มาตรา 254 ผู้ใดทำปลอมขึ้น  ซึ่งแสตมป์รัฐบาลซึ่งใช้สำหรับการไปรษณีย์  การภาษีอากรหรือการเก็บ
ค่าธรรมเนียม  หรือแปลงแสตมป์รัฐบาล ซึ่งใช้ในการเช่นว่านั้นให้ผิดไปจากเดิมเพื่อให้ผู้อื่นเช่นว่ามี
มูลค่าสูงกว่าจริง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	มาตรา 255 ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งดวงตราแผ่นดิน รอยตราแผ่นดิน  พระปรมาภิไธย ดวงตรา
หรือรอยตราของทบวงการเมืองขององค์การสาธารณ   หรือของเจ้าพนักงาน หรือแสตมป์ซึ่งระบุไว้
ใน มาตรา 250  มาตรา 251 หรือ มาตรา 254 อันเป็นของปลอมหรือของแปลง ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	มาตรา 256 ผู้ใดลบ ถอนหรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่แสตมป์รัฐบาลซึ่งระบุไว้ใน มาตรา 254 
และมีเครื่องหมายหรือการกระทำอย่างใดแสดงว่าใช้ไม่ได้แล้ว เพื่อให้ใช้ได้อีก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี 
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 257 ผู้ใดใช้ ขาย เสนอขาย  แลกเปลี่ยนหรือเสนอแลกเปลี่ยนซึ่งแสตมป์อันเกิดจากการกระทำ
ดังกล่าวใน มาตรา 254 หรือ มาตรา 256 ไม่ว่าการกระทำตาม มาตรานั้น ๆ จะได้กระทำภายใน
หรือนอกราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 258 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งตั๋วโดยสารซึ่งใช้ในการขนส่งสาธารณหรือแปลงตั๋วโดยสารซึ่งใช้ในการ
ขนส่งสาธารณให้ผิดไปจากเดิมเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง หรือลบ ถอนหรือกระทำด้วย
ประการใด ๆ แต่ตั๋วเช่นว่านั้น ซึ่งมีเครื่องหมายหรือการกระทำอย่างใด  แสดงว่าใช้ไม่ได้แล้วเพื่อใช้
ได้อีก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 259 ถ้าการกระทำตาม มาตรา 258 เป็นการกระทำเกี่ยวกับตั๋วที่จำหน่ายแก่ประชาชน 
เพื่อผ่านเข้าสถานที่ใด ๆ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
	มาตรา 260 ผู้ใดใช้ ขาย เสนอขาย  แลกเปลี่ยนหรือเสนอแลกเปลี่ยนซึ่งตั๋วอันเกิดจากการกระทำดัง
กล่าวใน มาตรา 258 หรือ มาตรา 259 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
	มาตรา 261 ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงสิ่งใด ๆ ซึ่งระบุไว้ใน มาตรา 254
มาตรา 258 หรือ มาตรา 259 หรือมีเครื่องมือหรือวัตถุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 254, 255, 256, 257, 258, 259, 260, 261  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 262 ถ้าการกระทำดังกล่าวใน มาตรา 254  มาตรา 256  มาตรา 257 หรือ มาตรา 261 เป็น
การกระทำเกี่ยวกับแสตมป์รัฐบาลต่างประเทศ ผู้กระทำต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่บัญญัติไว้
ในมาตรานั้น ๆ
	มาตรา 263 ถ้าผู้กระทำความผิดตาม มาตรา 250  มาตรา 251  มาตรา 254 มาตรา 256  มาตรา 258
มาตรา 259 หรือ มาตรา 262 ได้กระทำความผิดตาม มาตราอื่นที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ อันเกี่ยวกับ
สิ่งที่เกิดจากการกระทำความผิดนั้นด้วย ให้ลงโทษผู้นั้นตาม มาตรา 250  มาตรา 251  มาตรา 254
มาตรา 256  มาตรา 258  มาตรา 259 หรือ มาตรา 262 แต่กระทงเดียว
-
	หมวด 3
	ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
-
	มาตรา 264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือ
แก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมเอกสาร  โดย
ประการที่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็น
เอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด  ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับ
ความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่
อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร  ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	*มาตรา 264 วรรคหนึ่ง  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี 
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
	*มาตรา 265  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 266 ผู้ใดปลอมเอกสารดังต่อไปนี้
	(1) เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
	(2) พินัยกรรม
	(3) ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือใบสำคัญของใบหุ้นหรือใบหุ้นกู้ หรือ
	(4) ตั๋วเงิน
	(5) บัตรเงินฝาก
	ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	**แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 12)
พ.ศ.2535 มาตรา 3
	มาตรา 267 ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสาร
มหาชนหรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 267  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 268 ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิด ตาม มาตรา 264  มาตรา 265
มาตรา 266 หรือ มาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ต้อง
ระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
	ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้นหรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจด
ข้อความนั้นเอง ให้ลงโทษตาม มาตรานี้แต่กระทงเดียว
	มาตรา 269 ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชี หรือวิชาชีพอื่นใด ทำคำรับรอง
เป็นเอกสารอันเป็นเท็จ  โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้ใดโดยทุจริตใช้หรืออ้างคำรับรองอันเกิดจากการกระทำความผิดตามวรรคแรก  ต้องระวางโทษ
เช่นเดียวกัน
	*มาตรา 269 วรรคหนึ่ง  แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
-
	หมวด 4
	ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์
-
	"มาตรา 269/1 ผู้ใดทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริง โดย
ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใด
หลงเชื่อว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริง หรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด ผู้นั้น
กระทำความผิดฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
	"มาตรา 269/2 ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลง หรือสำหรับให้
ได้ข้อมูลในการปลอมหรือแปลงสิ่งใด ๆ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 269/1 หรือมีเครื่องมือหรือวัตถุ
เช่นว่านั้น เพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลในการปลอมหรือแปลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี
ถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงหนึ่งแสนบาท
	"มาตรา 269/3 ผู้ใดนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสิ่งใด ๆ
ตามมาตรา 269/1 หรือมาตรา 269/2 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่
หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	"มาตรา 269/4 ผู้ใดใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งสิ่งใด ๆ ตามมาตรา 269/1 อันได้มาโดยรู้ว่า
เป็นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สอง
หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสิ่งใด ๆ ที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้นตาม
มาตรา 269/1 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึง
สองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นผู้ปลอมซึ่งบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 269/1 ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
	"มาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	"มาตรา 269/6 ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบตาม
มาตรา 269/5 ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	"มาตรา 269/7 ถ้าการกระทำดังกล่าวในหมวดนี้ เป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็ก
ทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือ
หนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสด ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่
บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ กึ่งหนึ่ง"
	เพิ่มเติมเป็นหมวด 4 ในความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ของลักษณะ 7 ความผิด
เกี่ยวกับการปลอมและการแปลง มาตรา 269/1 มาตรา 269/2 มาตรา 269/3 มาตรา 269/4 มาตรา 269/5
มาตรา 269/6 และมาตรา 269/7 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547
-
	“หมวด 5 ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง
-
	“มาตรา 269/8 ผู้ใดทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอน
ข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในหนังสือเดินทางที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือ ลงลายมือชื่อ
ปลอมในหนังสือเดินทาง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้
หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นหนังสือเดินทางที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอม หนังสือเดินทาง ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	“มาตรา 269/9 ผู้ใดใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา 269/8 ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา 269/8 ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
	การมีหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา 269/8 จำนวนตั้งแต่สองฉบับขึ้นไป ให้สันนิษฐาน
ไว้ก่อนว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย
	ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองเป็นผู้ปลอมซึ่งหนังสือเดินทาง ตามมาตรา
269/8 ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
	“มาตรา 269/10 ผู้ใดนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตาม
มาตรา 269/8 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำไปเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
สามปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
	“มาตรา 269/11 ผู้ใดใช้หนังสือเดินทางของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิด ความ
เสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
	ผู้ใดจัดหาหนังสือเดินทางให้ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
	“มาตรา 269/12 ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการ ตรวจลง
ตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับ ตั้งแต่สองหมื่น
บาทถึงสองแสนบาท
	“มาตรา 269/13 ผู้ใดใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตราที่ทำปลอมขึ้นตามมาตรา 269/12
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ปลอมซึ่งดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา ตาม
มาตรา 269/12 ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
	“มาตรา 269/14 ผู้ใดนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งดวงตรา รอยตรา หรือ แผ่นปะ
ตรวจลงตราซึ่งระบุไว้ในมาตรา 269/12 อันเป็นของปลอม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและ
ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	“มาตรา 269/15 ผู้ใดใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตราอันแท้จริงที่ใช้ในการ ตรวจลงตรา
สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชน ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา 269/13”
	**หมวด 5  เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550
-
	ลักษณะ 8
	ความผิดเกี่ยวกับการค้า
-
	มาตรา 270 ผู้ใดใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่ง เครื่องตวง หรือเครื่องวัดที่ผิดอัตรา เพื่อเอาเปรียบใน
การค้า  หรือมีเครื่องเช่นว่านั้นไว้เพื่อขาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
	*มาตรา 270 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 271 ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณ
ภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ  ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	* พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2522 มาตรา 3
	มาตรา 272 ผู้ใด
	(1) เอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้ หรือ
ทำให้ปรากฏที่สินค้า หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้หุ้มห่อ แจ้งความ รายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการ
ค้าหรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกัน  เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของผู้อื่นนั้น
	(2) เลียนป้าย  หรือสิ่งอื่นทำนองเดียวกันจนประชาชนน่าจะหลงเชื่อว่าสถานที่การค้าของ
ตนเป็นสถานที่การค้าของผู้อื่นที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง
	(3) ไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความเท็จเพื่อให้เสียความเชื่อถือในสถานที่การค้า สินค้าอุต
สาหกรรมหรือพาณิชย์การของผู้หนึ่งผู้ใดโดยมุ่งประโยชน์แก่การค้าของตน
	ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ความผิดตาม มาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้
	*มาตรา 272 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 273 ผู้ใดปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น  ซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภาย
ในหรือนอกราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 274 ผู้ใดเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น  ซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว ไม่ว่าจะได้จดทะเบียนภาย
ในหรือนอกราชอาณาจักร เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นนั้น ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 273, 274 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 275 ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักร  จำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายซึ่งสินค้าอันเป็นสินค้าที่มีชื่อ รูป
รอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ดังบัญญัติไว้ใน มาตรา 272 (1) หรือสินค้าอันเป็นสินค้าที่มีเครื่อง
หมายการค้าปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นตามความใน มาตรา 273 หรือ มาตรา
274  ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
-
	ลักษณะ 9
	ความผิดเกี่ยวกับเพศ
-
	มาตรา 276 ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย
โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่าผู้กระทำมีอาวุธปืน
หรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท 
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ
หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทำกับชายในลักษณะเดียวกัน
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่สมรสนั้น
ยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ หรือ
จะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก
และคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรส
ฝ่ายนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาลแจ้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการฟ้องหย่าให้
	*มาตรา 276 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 277 ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้น
จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่า
ผู้กระทำมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาท
ถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด
หรือโดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทำกับ
เด็กชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
	ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกระทำโดยบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปีกระทำต่อเด็ก
ซึ่งมีอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นยินยอม ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครัวจะพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย
ว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ ในการพิจารณาของศาล ให้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ
สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อมของผู้กระทำความผิดและ
เด็กผู้ถูกกระทำความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำความผิดกับเด็กผู้ถูกกระทำ หรือเหตุอื่นอันควรเพื่อประโยชน์ 
ของเด็กผู้ถูกกระทำด้วย
	ในกรณีที่ได้มีการดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความผิด
ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแล้ว ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าการคุ้มครองสวัสดิภาพ
ดังกล่าวไม่สำเร็จ ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
เพียงใดก็ได้ ในการพิจารณาของศาล ให้คำนึงถึงเหตุตามวรรคห้าด้วย
	*มาตรา 277 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 277 ทวิ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 277
วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
	(1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่
สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	(2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต 
	*มาตรา 277 ทวิ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	 มาตรา 277 ตรี ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคสาม หรือมาตรา 277
วรรคสี่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
	(1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	(2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
	*มาตรา 277 ตรี แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562
	
	มาตรา 278 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลัง
ประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตน
เป็นบุคคลอื่น  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่
อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของบุคคลนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึง
ยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสอง ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่าผู้กระทำมีอาวุธปืน
หรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสอง ได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดหรือโดยใช้อาวุธ
หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทำกับชายในลักษณะเดียวกัน
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุก
ตลอดชีวิต
	*วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ของมาตรา 278 เพิ่มความโดยโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	 “ มาตรา 279 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอม
หรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ผู้กระทำได้กระทำโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ
โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้เด็กนั้นเข้าใจผิดว่า
ตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสาม เป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่น
ซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของเด็กนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี
ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสี่ เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสี่หรือวรรคห้า ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่าผู้กระทำ
มีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึง
สี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสี่หรือวรรคห้า ได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือ
โดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทำกับ
เด็กชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 280 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 278 หรือมาตรา 279 เป็นเหตุให้
ผู้ถูกกระทำ
	(1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่
หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	(2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	*มาตรา 279 และมาตรา 280 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
อาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 280/1 ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 278 หรือ
มาตรา 279 ได้บันทึกภาพหรือเสียงการกระทำชำเราหรือการกระทำอนาจารนั้นไว้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ 
โดยมิชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม
	ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งภาพหรือเสียงการกระทำชำเราหรือ
การกระทำอนาจารที่บันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง
	*มาตรา 280/1 เพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
อาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 281 ความผิดตามมาตราดังต่อไปนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้
	(1) มาตรา 276 วรรคหนึ่ง และมาตรา 278 วรรคสอง ซึ่งเป็นการกระทำระหว่างคู่สมรส
ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล หรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
	(2) มาตรา 278 วรรคหนึ่ง ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับ
อันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย หรือมิได้เป็นการกระทำแก่บุคคลดังระบุไว้ในมาตรา 285 และ
มาตรา 285/2
	*มาตรา 281 แก้ไขโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 282 ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชาย
หรือหญิง  แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  และปรับตั้งแต่สอง
พันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกิน
สิบแปดปี  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี  และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี  ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี  และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น รับตัวบุคคลซึ่งมีผู้จัดหาล่อไป  หรือพาไป  ตามวรรคแรก
วรรคสอง วรรคสาม หรือสนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว  ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติ
ไว้ในวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสาม  แล้วแต่กรณี
	มาตรา 283 ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจาร
ซึ่งชายหรือหญิง โดยใช้อุบาย หลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม
หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี  และปรับตั้งแต่หนึ่ง
หมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่
เกินสิบแปดปี  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี  และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นสี่พัน
บาทถึงสี่หมื่นบาท  หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี  และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำ
คุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
	ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น  รับตัวบุคคลซึ่งมีผู้จัดหาล่อไป หรือพาไปตามวรรคแรก
วรรคสอง หรือวรรคสาม หรือสนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติ
ไว้ในวรรคแรก วรรคสอง หรือวรรคสาม แล้วแต่กรณี
	 "มาตรา 283 ทวิ ผู้ใดพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร
แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี  หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้ใดซ่อนเร้นบุคคลซึ่งถูกพาไปตามวรรคแรกหรือวรรคสอง   ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติ
ในวรรคแรกหรือวรรคสอง  แล้วแต่กรณี
	ความผิดตามวรรคแรกและวรรคสามเฉพาะกรณีที่กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีเป็น
ความผิดอันยอมความได้
	**มาตรา 282,283 และ283 ทวิ ยกเลิกและแก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2540
	มาตรา 284 ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร  โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้
อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด   ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
หนึ่งปีถึงสิบปี  และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ผู้ใดซ่อนเร้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ถูกพาไปตามวรรคแรก  ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พาไปนั้น
	ความผิดตามมาตรานี้  เป็นความผิดอันยอมความได้
	**ยกเลิกและแก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2540

	มาตรา 285 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 277 ทวิ
มาตรา 277 ตรี มาตรา 278 มาตรา 279 มาตรา 280 มาตรา 282 หรือมาตรา 283
เป็นการกระทำแก่บุพการี ผู้สืบสันดาน พี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา ญาติสืบสายโลหิต
ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ผู้อยู่ในความควบคุมตามีหน้าที่ราชการผู้อยู่ในความปกครอง ในความพิทักษ์ 
หรือในความอนุบาล หรือผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใด ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้
ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม
	*มาตรา 285 แก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 285/1 การกระทำความผิดตามมาตรา 277 มาตรา 279 มาตรา 282 วรรคสาม
มาตรา 283 วรรคสาม และมาตรา 283 ทวิ วรรคสอง หากเป็นการกระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบสามปี
ห้ามอ้างความไม่รู้อายุของเด็กเพื่อให้พ้นจากความผิดนั้น*
	*มาตรา 285/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2558

	มาตรา 285/2 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 277 ทวิ
มาตรา 277 ตรี มาตรา 278 หรือมาตรา 279 เป็นการกระทำแก่บุคคลซึ่งไม่สามารถปกป้องตนเอง
อันเนื่องมาจากเป็นผู้ทุพพลภาพ ผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน คนป่วยเจ็บ คนชรา
สตรีมีครรภ์  หรือผู้ซึ่งอยู่ในภาวะไม่สามารถรู้ผิดชอบ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้
ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม 
	*มาตรา 285/2 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

มาตรา 286 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินยี่สิบปี
และปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	(1) ช่วยเหลือให้ความสะดวก หรือคุ้มครองการค้าประเวณีของผู้อื่น
	(2) รับประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใดจากการค้าประเวณีของผู้อื่นหรือจากผู้ซึ่งค้าประเวณี
	(3) บังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือใช้อำนาจครอบงาผู้อื่น หรือรับผู้อื่นเข้าทำงานเพื่อการค้า
ประเวณี
	(4) จัดให้มีการค้าประเวณีระหว่างผู้ซึ่งค้าประเวณีกับผู้ใช้บริการ
	(5) ปกปิดหรืออาพรางแหล่งที่มาของรายได้หรือทรัพย์สินซึ่งได้มาจากการค้าประเวณี
	(6) อยู่ร่วมกับผู้ซึ่งค้าประเวณีหรือสมาคมกับผู้ซึ่งค้าประเวณีคนเดียวหรือหลายคนเป็นอาจิณ
และไม่สามารถแสดงที่มาของรายได้ในการดำรงชีพของตน
	(7) ขัดขวางการดำเนินการของหน่วยงานที่ดูแลในการป้องกัน ควบคุม ช่วยเหลือหรือ
ให้การศึกษาแก่ผู้ซึ่งค้าประเวณี ผู้ซึ่งจะเข้าร่วมในการค้าประเวณี หรือผู้ซึ่งอาจได้รับอันตรายจากการค้า
ประเวณี
	ความในวรรคหนึ่ง (2) และ(6) มิให้ใช้บังคับแก่ผู้รับประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใดซึ่งพึงได้รับ
ตามกฎหมายหรือตามธรรมจรรยา
	*มาตรา 286 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562

	มาตรา 287 ผู้ใด
	(1)  เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่าย หรือเพื่อการแสดง
อวดแก่ประชาชน ทำผลิต  มีไว้  นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักรส่งออกหรือยังให้ส่งออกไป
นอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งเอกสาร ภาพ
เขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสีสิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่ายภาพยนตร์ แถบ
บันทึกเสียง แถบบันทึกภาพหรือสิ่งอื่นใดอันลามก
	(2)  ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งของลามก
ดังกล่าวแล้วจ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าวัตถุหรือสิ่งของเช่นว่านั้น
	(3)  เพื่อจะช่วยการทำให้แพร่หลาย  หรือการค้าวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว
โฆษณาหรือไขข่าวโดยประการใด ๆ ว่ามีบุคคลกระทำการอันเป็นความผิดตาม มาตรานี้ หรือ
โฆษณาหรือไขข่าวว่าวัตถุ หรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด
	ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	** พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2525
	มาตรา 287/1 ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศ
สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 287/2 ผู้ใด
	(1) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวด
แก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก
	(2) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก
จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก
	(3) เพื่อจะช่วยการทำให้แพร่หลาย หรือการค้าสื่อลามกอนาจารเด็กแล้ว โฆษณาหรือไขข่าว
โดยประการใด ๆ ว่ามีบุคคลกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือโฆษณาหรือไขข่าวว่าสื่อลามก
อนาจารเด็กดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด
	ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	*มาตรา 287/1, มาตรา 287/2 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) 
	พ.ศ.2558
-
	ลักษณะ 10
	ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
-
	หมวด 1
	ความผิดต่อชีวิต
-
	มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี
ถึงยี่สิบปี
	มาตรา 289 ผู้ใด
	(1)  ฆ่าบุพการี
	(2)  ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่  หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำ
การตามหน้าที่
	(3)  ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน  ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะ
เหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว
	(4)  ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
	(5)  ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
	(6)  ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการ  หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่นหรือ
	(7)  ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้ กระทำความผิดอื่น
เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน  หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้
	ต้องระวางโทษประหารชีวิต
	มาตรา 290 ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า  แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษจำ
คุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
	ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 289 ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี
	มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
	มาตรา 292 ผู้ใดกระทำด้วยการปฏิบัติอันทารุณหรือด้วยปัจจัยคล้ายคลึงกันแก่บุคคลซึ่งต้องพึ่งตน
ในการดำรงชีพหรือในการอื่นใด เพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตนเอง  ถ้าการฆ่าตนเองนั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มี
การพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	มาตรา 293 ผู้ใดช่วยหรือยุยงเด็กอายุยังไม่เกินสิบหกปีหรือผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าใจว่าการกระทำของตน
มีสภาพ  หรือสารสำคัญอย่างไร หรือไม่สามารถบังคับการกระทำของตนได้ ให้ฆ่าตนเอง ถ้าการ
ฆ่าตนเองนั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามฆ่าตนเอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**มาตรา 291, 292, 293 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	 มาตรา 294 ผู้ใด เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่ง
บุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่  ถึงแก่ความตายโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น
หรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย   ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	*มาตรา 294 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
-
	หมวด 2
	ความผิดต่อร่างกาย
-
	มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 296 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใด
ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	อันตรายสาหัสนั้น คือ
	(1)  ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท
	(2)  เสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถสืบพันธุ์
	(3)  เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด
	(4)  หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
	(5)  แท้งลูก
	(6)  จิตพิการอย่างติดตัว
	(7)  ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต
	(8)  ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบ
กรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน
	มาตรา 298 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 297 ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใด
ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 289  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาท
ถึงสองแสนบาท
	*มาตรา 295, 296, 297, 298 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 299 ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใด
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส โดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่าได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือ
เพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	*มาตรา 299 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส 
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 300 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
-
	หมวด 3
	ความผิดฐานทำให้แท้งลูก
-
	มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 302 ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี 
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี 
และปรับไม่เกินสองแสนบาท
	มาตรา 303 ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี 
หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
	ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี
ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
	*มาตรา 301, 302, 303 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	มาตรา 304 ผู้ใดเพียงแต่พยายามกระทำความผิดตาม มาตรา 301 หรือมาตรา 302 วรรคแรก 
ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 301 และ มาตรา 302 นั้น เป็นการกระทำ
ของนายแพทย์และ
	(1)  จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือ
	(2)  หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา  ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 276
มาตรา 277  มาตรา 282  มาตรา 283 หรือ มาตรา 284
	ผู้กระทำไม่มีความผิด
-
	หมวด 4
	ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก  คนป่วยเจ็บหรือคนชรา
-
	มาตรา 306 ผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการ
ที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 307 ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนตนเองมิได้ เพราะอายุ
ความป่วยเจ็บ กายพิการ หรือจิตพิการทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดยประการที่น่าจะเป็นเหตุ
ให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 306, 307 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 308 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 306 หรือ มาตรา 307 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้ง
ถึงแก่ความตาย  หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 290 มาตรา
297 หรือ มาตรา 298 นั้น
-
	ลักษณะ 11
	ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง
-
	หมวด 1
	ความผิดต่อเสรีภาพ
-
	มาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด  ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัว
ว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น
หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่ง
นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ  หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่
ห้าคนขึ้นไป  หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ  ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิ
อย่างใดผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร  ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
	*มาตรา 309 แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
	มาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น  หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพด้าน
ร่างกาย  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก  เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้อง
ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่
บัญญัติไว้ใน มาตรา 290  มาตรา 297 หรือ มาตรา 298 นั้น
	*มาตรา 310 วรรคหนึ่ง แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) 
พ.ศ. 2560
	"มาตรา 310 ทวิ ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจาก
เสรีภาพในร่างกายและให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
	**เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2537
	มาตรา 311 ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขังหรือ
ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว  ถูกกักขัง  หรือต้อง
ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่
บัญญัติไว้ใน มาตรา 291 หรือ มาตรา 300
	มาตรา 312 ผู้ใดเพื่อจะเอาคนลงเป็นทาส  หรือให้มีฐานะคล้ายทาสนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราช
อาณาจักร พามาจากที่ใด ซื้อ ขาย จำหน่าย รับ หรือหน่วงเหนี่ยวซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใด  ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
	"มาตรา 312 ทวิ ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 310 ทวิ  หรือ มาตรา 312  เป็นการกระทำ
ต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีและปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
	ถ้าการกระทำผิดตามวรรคแรก  หรือ มาตรา 310  ทวิ หรือ มาตรา 312 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
	(1) รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี
และปรับไม่เกินสามหมื่นบาท
	(2) รับอันตรายสาหัส  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต  หรือจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี
	(3) ถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต  หรือจำคุกตั้ง
แต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
	**เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2537
	"มาตรา 312 ตรี ผู้ใดโดยทุจริตรับไว้  จำหน่าย  เป็นธุระจัดหา  ล่อไป  หรือพาไปซึ่งบุคคลอายุ
เกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี  แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี  หรือปรับ
ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี  ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**เพิ่มเติม พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2540
	มาตรา 313 ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
	(1)  เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป
	(2)  เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไป โดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย
ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจ ด้วยประการอื่นใดหรือ
	(3)  หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด
	ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูก
กักขังนั้นรับอันตรายสาหัส  หรือเป็นการกระทำโดยทรมาน  หรือโดยทารุณโหดร้าย  จนเป็นเหตุให้ผู้
ถูกกระทำนั้นรับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการกระทำความผิดนั้นเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว  หรือผู้ถูกกักขังนั้น
ถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
	มาตรา 314 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 313 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับ
ตัวการในความผิดนั้น
	มาตรา 315 ผู้ใดกระทำการเป็นคนกลาง โดยเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใดที่
มิควรได้  จากผู้กระทำความผิดตาม มาตรา 313 หรือจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่  ต้องระวางโทษจำคุกตั้ง
แต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
	มาตรา 316 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 313  มาตรา 314 หรือ มาตรา 315 จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป
ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตราย
สาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่
ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
	มาตรา 317 ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้
ปกครอง หรือผู้ดูแล  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
	ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ  จำหน่าย หรือรับตัวเด็กซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่น
เดียวกับผู้พรากนั้น
	ถ้าความผิดตาม มาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	 มาตรา 318 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี  แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปก
ครอง  หรือผู้ดูแลโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี  และปรับ
ตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ผู้ใดโดยทุจริต  ซื้อ  จำหน่ายหรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก  ต้องระวางโทษ
เช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
	ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจาร  ผู้กระทำต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
	มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา 
ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร  โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่สองปีถึงสิบปี   และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษ
เช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
	มาตรา 320 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้
วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก  ได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกพาหรือส่งไปนั้นตกอยู่ใน
อำนาจของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อละทิ้งให้เป็นคนอนาถา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำ
คุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
	มาตรา 321 ความผิดตาม มาตรา 309 วรรคแรก  มาตรา 310 วรรค แรก และ มาตรา 311 วรรคแรก
เป็นความผิดอันยอมความได้
	มาตรา 321/1 การกระทำความผิดตามมาตรา 312 ตรี วรรคสอง และมาตรา 317
หากเป็นการกระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ห้ามอ้างความไม่รู้อายุของเด็กเพื่อให้พ้นจากความผิดนั้น*
	(*มาตรา 321/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2558)
-
	หมวด 2 
	ความผิดฐานเปิดเผยความลับ
-
	มาตรา 322 ผู้ใดเปิดผนึกหรือเอาจดหมาย โทรเลขหรือเอกสารใด ๆ ซึ่งปิดผนึกของผู้อื่นไป เพื่อล่วงรู้
ข้อความก็ดี เพื่อนำข้อความในจดหมาย โทรเลข หรือเอกสารเช่นว่านั้นออกเปิดเผยก็ดี  ถ้าการ
กระทำนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่
เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 323 ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่โดยเหตุที่
ประกอบอาชีพเป็นแพทย์เภสัชกร คนจำหน่ายยา นางผดุงครรภ์ ผู้พยาบาล นักบวช หมอความ
ทนายความหรือผู้สอบบัญชี หรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับ
นั้นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับ
ไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ผู้รับการศึกษาอบรมในอาชีพดังกล่าวในวรรคแรก  เปิดเผยความลับของผู้อื่น อันตนได้
ล่วงรู้หรือได้มาในการศึกษาอบรมนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดต้องระวาง
โทษเช่นเดียวกัน
	มาตรา 324 ผู้ใดโดยเหตุที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่  วิชาชีพหรืออาชีพอันเป็นที่ไว้วางใจ ล่วงรู้หรือได้มาซึ่ง
ความลับของผู้อื่นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการค้นพบ   หรือการนิมิตในวิทยาศาสตร์ เปิดเผยหรือใช้
ความลับนั้น เพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน  หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 325 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
-
	หมวด 3
	ความผิดฐานหมิ่นประมาท
-
	มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือ
ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**แก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2535
	มาตรา 327 ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้นน่าจะเป็นเหตุให้  บิดา มารดา 
คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่น
ประมาทต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ใน มาตรา 326 นั้น
	มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพ
ระบายสี ภาพยนตร์  ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง   หรือสิ่งบันทึกเสียง
บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการ
ป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
	**แก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2535
	มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
	(1)  เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ตามคลองธรรม
	(2)  ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
	(3)  ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำหรือ
	(4)  ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
	ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
	มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท  ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่น
ประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
	แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว
และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
	มาตรา 331 คู่ความ หรือทนายความของคู่ความ  ซึ่งแสดงความคิดเห็นหรือข้อความในกระบวน
พิจารณาคดีในศาล  เพื่อประโยชน์แก่คดีของตน  ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
	มาตรา 332 ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดศาลอาจสั่ง
	(1)  ให้ยึด และทำลายวัตถุหรือส่วนของวัตถุที่มีข้อความหมิ่นประมาท
	(2)  ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด  หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ  
ครั้งเดียว หรือหลายครั้งโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
	มาตรา 333 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
	ถ้าผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตายเสียก่อนร้องทุกข์  ให้บิดา มารดา คู่สมรส
หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
-
	ลักษณะ 12
	ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
-
	หมวด 1
	ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์
-
	มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
	มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์
	(1)  ในเวลากลางคืน
	(2)  ในที่หรือบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด อุทกภัย หรือในที่ หรือบริเวณที่มีอุบัติ
เหตุ เหตุทุกขภัยแก่รถไฟ หรือยานพาหนะอื่นที่ประชาชนโดยสาร หรือภัยพิบัติอื่นทำนองเดียวกัน
หรืออาศัยโอกาสที่มีเหตุเช่นว่านั้น หรืออาศัยโอกาสที่ประชาชนกำลังตื่นกลัวภยันตรายใด ๆ
	(3)  โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคล หรือทรัพย์  หรือผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้า
ไปด้วยประการใด ๆ
	(4)  โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า หรือเข้าทางช่องทาง
ซึ่งผู้เป็นใจเปิดไว้ให้
	(5)  โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น  มอมหน้าหรือทำด้วยประการอื่น เพื่อไม่ให้เห็น
หรือจำหน้าได้
	(6)  โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน
	(7)  โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
	(8)  ในเคหสถาน  สถานที่ราชการหรือสถานที่ที่จัดไว้เพื่อให้บริการสาธารณที่ตนได้เข้าไป
โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือซ่อนตัวอยู่ในสถานที่นั้น ๆ
	(9)  ในสถานที่บูชาสาธารณ สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน ที่จอดรถหรือเรือสาธารณสา
ธารณสถานสำหรับขนถ่ายสินค้าหรือยวดยานสาธารณ
	(10)  ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์
	(11)  ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง
	(12)  ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรม  บรรดาที่เป็นผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์  สัตว์ หรือเครื่องมืออัน
มีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม หรือได้มาจากการกสิกรรมนั้น
	ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท
	ถ้าความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ใน
อนุมาตราดังกล่าวแล้วตั้งแต่สองอนุมาตราขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
	ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโคกระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักร
ที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรานี้ เป็นการกระทำโดยความจำใจ หรือความยาก
จนเหลือทนทาน และทรัพย์นั้นมีราคาเล็กน้อย ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 334 ก็ได้
	"มาตรา 335 ทวิ ผู้ใดลักทรัพย์ที่เป็นพระพุทธรูปหรือวัตถุในทางศาสนาถ้าทรัพย์นั้นเป็นที่
สักการบูชาของประชาชน   หรือเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ  หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของพระพุทธรูป
หรือวัตถุดังกล่าว  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกได้กระทำในวัดสำนักสงฆ์ สถานอันเป็นที่เคารพใน
ทางศาสนา โบราณสถานอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน สถานที่ราชการหรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
	มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า  ผู้นั้นกระทำความผิดวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
	ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ  ผู้กระทำต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
	ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่
ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
	"มาตรา 336 ทวิ ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 334  มาตรา 335  มาตรา 335 ทวิ หรือ
มาตรา 336 โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือ
โดยมีหรือใช้อาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการ
พาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุมต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ใน มาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง
	**เพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 (รจ. เล่ม 88 ตอนที่ 127 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2514)
-
	หมวด 2
	ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์
-
	มาตรา 337 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็น
ทรัพย์สิน  โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียงหรือ
ทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิด
ฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
	ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
	(1)  ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือ
ขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ
	(2)  มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
	ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่ง
หมื่นสี่พันบาท
	มาตรา 338 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็น
ทรัพย์สิน  โดยการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ  ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม
เสียหาย  จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์  ต้องระวางโทษจำ
คุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  และปรับตั้งสองพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
	(1)  ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
	(2)  ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
	(3)  ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
	(4)  ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
	(5)  ให้พ้นจากการจับกุม
	ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี  และปรับตั้งแต่
หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่งอนุ
มาตราใดแห่ง มาตรา 335 หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักร  ที่
ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี
และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
	ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี  และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี
ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมี่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือ
จำคุกตลอดชีวิต
	**มาตรา 339 แก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 (รจ. เล่ม 88 ตอนที่ 127 วันที่ 21
พฤศจิกายน 2514)
	**มาตรา 339 วรรคสองแก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525
	"มาตรา 339 ทวิ  ถ้าการชิงทรัพย์ได้กระทำต่อทรัพย์ตาม มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี  และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
	**วรรคแรก แก้ไขโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2512
	ถ้าการชิงทรัพย์นั้นเป็นการกระทำในสถานที่ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 335 ทวิ วรรคสองด้วย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการชิงทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการชิงทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
	ถ้าการชิงทรัพย์ตามวรรคแรก หรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษประหารชีวิต
	**มาตรา 339 ทวิ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512
	มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป  ผู้นั้นกระทำความผิด
ฐานปล้นทรัพย์  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
	ถ้าในการปล้นทรัพย์ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย  ผู้กระทำต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี   และปรับตั้งแต่สองหมื่นสี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต  
หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
	ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กาย
หรือจิตใจ ใช้ปืนยิง ใช้วัตถุระเบิดหรือกระทำทรมาน  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ
จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
	ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
	"มาตรา 340 ทวิ ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำต่อทรัพย์ตาม มาตรา 335 ทวิ วรรคแรก ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี  และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการปล้นทรัพย์นั้นเป็นการกระทำในสถานที่ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 335 ทวิ วรรคสองด้วย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
	ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสอง ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัว
ไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
	ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสอง  เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองได้กระทำ โดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุ
ให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจใช้ปืนยิง ใช้วัตถุระเบิด หรือกระทำทรมาน ผู้กระทำต้องระวาง
โทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
	ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำ
ต้องระวางโทษประหารชีวิต
	"มาตรา 340 ตรี ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 339  มาตรา 339 ทวิ  มาตรา 340 หรือ
มาตรา 340 ทวิ โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ
หรือโดยมี หรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด  หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป
หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ใน มาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง
	**มาตรา 340, 340 ทวิและ340 ตรี เพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 รจ. เล่ม 88
ตอนที่ 129 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2514
-
	หมวด 3
	ความผิดฐานฉ้อโกง
-
	มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง
ซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่
สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความ
ผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 342 ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ผู้กระทำ
	(1)  แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
	(2)  อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็กหรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิต
ของผู้ถูกหลอกลวง
	ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อ
ประชาชนหรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำ
คุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรกต้องด้วยลักษณะดังกล่าวใน มาตรา 342 อนุ
มาตราหนึ่งอนุ มาตราใดด้วยผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปีและปรับตั้งแต่
หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
	มาตรา 344 ผู้ใดโดยทุจริตหลวงลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใด ๆ 
ให้แก่ตนหรือให้บุคคลที่สาม  โดยจะไม่ใช้ค่าแรงหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือ
ค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 345 ผู้ใดสั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มหรือเข้าอยู่ในโรงแรม  โดยรู้ว่าตนไม่สามารถ
ชำระเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่มหรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือ
ปรับไม่เกินห้าร้อยบาท   หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 346 ผู้ใดเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สามชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่าย
โดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอ หรือเป็นเด็กเบาปัญญาและไม่
สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสาระสำคัญแห่งการกระทำของตน จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท    หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 347 ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันวินาศภัย แกล้งทำให้เกิดเสีย
หายแก่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท 
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 348 ความผิดในหมวดนี้นอกจากความผิดตาม มาตรา 343 เป็นความผิดอันยอมความได้
-
	หมวด 4
	ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
-
	มาตรา 349 ผู้ใดเอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์
อันตนจำนำไว้แก่ผู้อื่น  ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สองปีหรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 350 ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้
หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี
แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี  หรือปรับ
ไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 351 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
-
	หมวด 5
	ความผิดฐานยักยอก
-
	มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบัง
เอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก  ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้
โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง
	มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่
ด้วย  กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่
ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกิน
หกพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 354 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 352 หรือ มาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำ
ความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มี
อาชีพหรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 355 ผู้ใดเก็บได้ซึ่งสังหาริมทรัพย์อันมีค่าอันซ่อนหรือฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็น
เจ้าของได้ แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 356 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
-
	หมวด 6
	ความผิดฐานรับของโจร
-
	มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใด
ซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด  ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก
รีดเอาทรัพย์  ชิงทรัพย์  ปล้นทรัพย์  ฉ้อโกง ยักยอกหรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานรับของโจรต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้นได้กระทำเพื่อค้ากำไร  หรือได้กระทำต่อทรัพย์อัน
ได้มาโดยการลักทรัพย์ตาม มาตรา 335 (10)   ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำ
คุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี  และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
	ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้นได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์
ตาม มาตรา 335 ทวิ การชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339 ทวิ  หรือการปล้นทรัพย์ตาม มาตรา 340 ทวิ ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
	**วรรคสาม เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512
-
	หมวด 7
	ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
-
	มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์  ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น 
หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สามปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 359 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 358 ได้กระทำต่อ
	(1)  เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม
	(2)  ปศุสัตว์
	(3)  ยวดยานหรือสัตว์พาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณ หรือในการประกอบกสิกรรมหรือ
อุตสาหกรรม หรือ
	(4)  พืชหรือพืชผลของกสิกร
	ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 360 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อ
สาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	"มาตรา 360 ทวิ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ตาม
มาตรา 335 ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ประดิษฐานอยู่ในสถานที่ตาม มาตรา 335 ทวิ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	**เพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2512
	มาตรา 361 ความผิดตาม มาตรา 358 และ มาตรา 359 เป็นความผิดอันยอมความได้
-
	หมวด 8
	ความผิดฐานบุกรุก
-
	มาตรา 362 ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมด
หรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข  
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 363 ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตน หรือของบุคคลที่สาม ยักย้ายหรือ
ทำลายเครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สามปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 364 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุสมอันควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถาน  อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือ
สำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะ
ห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกินสองพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 365 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 362  มาตรา 363 หรือ มาตรา 364 ได้กระทำ
	(1)  โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
	(2)  โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ
	(3)  ในเวลากลางคืน
	ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 366 ความผิดในหมวดนี้นอกจากความผิดตาม มาตรา 365 เป็นความผิดอันยอมความได้

	มาตรา 366/1 ผู้ใดกระทำเพื่อสนองความใคร่ของตน โดยการใช้อวัยวะเพศของตนล่วงล้ำ
อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	*มาตรา 366/1 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27)
พ.ศ. 2562
-
	ลักษณะ 13
	ความผิดเกี่ยวกับศพ*
	(*ลักษณะ 13 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22)
พ.ศ. 2558)
-
	มาตรา 366/1 ผู้ใดกระทำชำเราศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ
โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของศพ หรือการใช้สิ่งอื่นใด
กระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของศพ
	มาตรา 366/2 ผู้ใดกระทำอนาจารแก่ศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน
สี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 366/3 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า
หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งศพ ส่วนของศพ อัฐิ หรือเถ้าของศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ
ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 366/4 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามศพ ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	(*มาตรา 336/1 ถึงมาตรา 336/4 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา 
(ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558)
-
	ภาค 3
	ลหุโทษ
-
	มาตรา 367 ผู้ใดเมื่อเจ้าพนักงานถามชื่อหรือที่อยู่เพื่อปฏิบัติการตามกฎหมาย  ไม่ยอมบอกหรือแกล้ง
บอกชื่อหรือที่อยู่อันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
	มาตรา 368 ผู้ใดทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำ
สั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
	 ถ้าการสั่งเช่นว่านั้นเป็นคำให้ช่วยทำกิจการในหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายกำหนด
ให้สั่งให้ช่วยได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 369 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ประกาศ  ภาพโฆษณา หรือเอกสารใดที่เจ้าพนักงานผู้
กระทำการตามหน้าที่ปิดหรือแสดงไว้ หรือสั่งให้ปิด หรือแสดงไว้ หลุด ฉีกหรือไร้ประโยชน์ ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียง  ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควรจนทำให้ประชา
ชนตกใจหรือเดือดร้อน  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
	มาตรา 371 ผู้ใดพกอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควรหรือ
พาไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ  การรื่นเริงหรือการอื่นใด ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท 
และให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธนั้น
	มาตรา 372 ผู้ใดทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณ หรือสาธารณสถาน  หรือกระทำโดยประการ
อื่นใดให้เสียความสงบเรียบร้อยในทางสาธารณ หรือหรือสาธารณสถาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 373 ผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริตปล่อยปละละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้นออกเที่ยวไปโดย
ลำพัง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 374 ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้ โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตน
เองหรือผู้อื่นแต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 375 ผู้ใดทำให้รางระบายน้ำ  ร่องน้ำหรือท่อระบายของโสโครก อันเป็นสิ่งสาธารณเกิดขัดข้อง
หรือไม่สะดวก  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 376 ผู้ใดยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 377 ผู้ใดควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเที่ยวไปโดยลำพังในประการที่
อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 378 ผู้ใดเสพย์สุราหรือของเมาอย่างอื่นจนเป็นเหตุให้ตนเมาประพฤติวุ่นวายหรือครองสติไม่ได้
ขณะอยู่ในถนนสาธารณหรือสาธารณสถาน  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 379 ผู้ใดชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกิน
ห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 380 ผู้ใดทำให้เกิดปฏิกูลแก่น้ำในบ่อ สระหรือที่ขังน้ำ อันมีไว้สำหรับประชาชนใช้สอย ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 381 ผู้ใดกระทำการทารุณต่อสัตว์หรือฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกข์เวทนาอันไม่จำเป็น ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 382 ผู้ใดใช้ให้สัตว์ทำงานจนเกินสมควรหรือใช้ให้ทำงานอันไม่สมควร เพราะเหตุที่สัตว์นั้น
ป่วย เจ็บ ชราหรืออ่อนอายุ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 383 ผู้ใดเมื่อเกิดเพลิงไหม้หรือสาธารณภัยอื่นและเจ้าพนักงานเรียกให้ช่วยระงับ ถ้าผู้นั้น
สามารถช่วยได้แต่ไม่ช่วย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 384 ผู้ใดแกล้งบอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 385 ผู้ใดโดยไม่ได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมายกีดขวางทางสาธารณจนอาจเป็นอุปสรรค
ต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวางหรือทอดทิ้งสิ่งของหรือโดยกระทำด้วย
ประการอื่นใด ถ้าการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยไม่จำเป็น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 386 ผู้ใดขุดหลุมหรือราง หรือปลูกปักหรือวางสิ่งของเกะกะไว้ในทางสาธารณ  โดยไม่ได้รับ
อนุญาตอันชอบด้วยกฎหมาย หรือทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ละเลยไม่แสดงสัญญาณตาม
สมควรเพื่อป้องกันอุปัทวเหตุ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 387 ผู้ใดแขวน ติดตั้งหรือวางสิ่งใดไว้โดยประการที่น่าจะตกหรือพังลง  ซึ่งจะเป็นเหตุอันตราย
เปรอะเปื้อนหรือเดือดร้อนแก่ผู้สัญจรในทางสาธารณ  ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 388 ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล โดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกาย หรือ
กระทำการลามกอย่างอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 389 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ของแข็งตกลง ณ ที่ใด ๆ โดยประการที่น่าจะเป็นอันตราย
หรือเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลหรือเป็นอันตรายแก่ทรัพย์ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ของ
โสโครกเปรอะเปื้อนหรือน่าจะเปรอะเปื้อนตัวบุคคล หรือทรัพย์หรือแกล้งทำให้ของโสโครกเป็นที่
เดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 390 ผู้ใดกระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 393 ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน 
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 394 ผู้ใดไล่ ต้อนหรือทำให้สัตว์ใด ๆ เข้าในสวนไร่หรือนาของผู้อื่นที่ได้แต่งดินไว้ เพาะพันธุ์ไว้
หรือมีพืชพันธุ์หรือผลิตผลอยู่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือ
ทั้งจำทั้งปรับ
	มาตรา 395 ผู้ใดควบคุมสัตว์ใด ๆ ปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเข้าในสวน ไร่หรือนาของผู้อื่นที่ได้
แต่งดินไว้  เพาะพันธุ์ไว้ หรือมีพืชพันธุ์หรือผลิตผลอยู่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 396 ผู้ใดทิ้งซากสัตว์ซึ่งอาจเน่าเหม็นในหรือริมทางสาธารณะ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	มาตรา 397 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม
หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล
หรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะล่วงเกินทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นการกระทำโดยอาศัยเหตุที่ผู้กระทำมีอำนาจเหนือผู้ถูกกระทำ
อันเนื่องจากความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา นายจ้าง หรือผู้มีอำนาจเหนือประการอื่น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
	(*มาตรา 397 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558)
	มาตรา 398 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทารุณต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี  คนป่วยเจ็บ
หรือคนชราซึ่งต้องพึ่งผู้นั้นในการดำรงชีพหรือการอื่นใด  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
	(*อัตราโทษในมาตรา 367 มาตรา 368 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 369 มาตรา 370 มาตรา 371 
มาตรา 372 มาตรา 373 มาตรา 374 มาตรา 375 มาตรา 376 มาตรา 377 มาตรา 378 มาตรา 379 มาตรา 380 มาตรา 
381 มาตรา 382 มาตรา 383 มาตรา 384 มาตรา 385 มาตรา 386 มาตรา 387 มาตรา 388 มาตรา 389 มาตรา 390 
มาตรา 391 มาตรา 392 มาตรา 394 มาตรา 395 และมาตรา 396 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558)
-
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560
-
หมายเหตุ
	เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่สมควรกำหนดกรอบระยะเวลา
การบังคับโทษปรับให้รวมถึงเรื่องการอายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับด้วยเพื่อความชัดเจน
และเนื่องจากบทบัญญัติเกี่ยวกับอัตราโทษปรับในประมวลกฎหมายอาญายังไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
และสังคมของประเทศในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงบทบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
รวมทั้งสมควรปรับปรุงความผิดที่มีโทษทางอาญาซึ่งไม่มีโทษปรับ ให้มีโทษปรับด้วย จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้
	เล่ม 134 ตอนที่ 32 ก ราชกิจจานุเบกษา 20 มีนาคม 2560
-
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562
-
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือโดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงบทนิยาม
คำว่า  “ กระทำชำเรา ”  ในบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับเพศและบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับศพในประมวล
กฎหมายอาญาให้ชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะการกระทำชำเราตามธรรมชาติ และปรับปรุงบทบัญญัติ
ความผิดเกี่ยวกับเพศบางประการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และเพื่อให้ความคุ้มครองบุคคล
ซึ่งถูกกระท่าทางเพศกลุ่มต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เช่น เด็ก ผู้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้กระทำ และผู้ซึ่งไม่สามารถ
ปกป้องตนเองได้อีกทั้งเพื่อป้องปรามมิให้มีการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบหรือรับประโยชน์จากผู้ซึ่งค้าประเวณี
หรือจากการค้าประเวณี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
	เล่ม 136 ตอนที่ 69 ก ราชกิจจานุเบกษา 27 พฤษภาคม 2562
-

 

Leave a Reply