กันยายน 7, 2020 In คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2563-ละเมิด-จึงต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2563
กองผู้ช่วยฯ
	คู่กรณี
โจทก์
	นางสาว ส.
จำเลย
	นางสาว ว.
-
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 
	มาตรา 420
-
ข้อมูลย่อ
	เดิมโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยขายที่ดินพร้อมสิ่ง
ปลูกสร้าง กับห้องชุดในอาคารชุดให้ ศ. เพื่อมิให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์สิน
ดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องจำเลยกับ ศ. เป็นคดีอาญาในข้อหาโกงเจ้าหนี้ กับฟ้องคดีแพ่ง
ขอเพิกถอนการฉ้อฉล คดีทั้งสองเรื่องถึงที่สุดแล้ว โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออก
ใบแทนโฉนดที่ดินและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินข้างต้นขายทอดตลาด
ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมครบถ้วนแล้ว
	โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากการที่
จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้แก่ ศ. ค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิเรียกจากจำเลยผู้
ทำละเมิดได้ตามกฎหมายเป็นความเสียหาย ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 420 
เท่านั้น โดยเฉพาะความเสียหายต่อสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง หมายถึง สิทธิที่กฎหมาย
รับรองคุ้มครองให้ผู้ถูกทำให้เกิดเสียหายและจำเลยจะต้องทำให้สิทธิอย่างหนึ่งอย่าง
ใดที่โจทก์มีอยู่เสียหายไป การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกง
เจ้าหนี้ แสดงว่าโจทก์มีความประสงค์ต้องการให้จำเลยได้รับโทษทางอาญา ค่าใช้
จ่ายในการดำเนินคดีอาญาและค่าจ้างว่าความของทนายความที่โจทก์จ่ายไป เกิดจาก
การใช้สิทธิของโจทก์ตามกฎหมาย จึงเป็นความเสียหายจากการใช้สิทธิ ไม่ใช่ความ
เสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดให้โจทก์เสียสิทธิหรือทำให้สิทธิของโจทก์ที่
กฎหมายรับรองว่ามีอยู่เสียหายไป ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะเรียกค่าสินไหม
ทดแทนในเหตุละเมิดตามกฎหมายได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการทำ
ละเมิดโดยตรง
	ส่วนการที่โจทก์จำต้องฟ้องคดีแพ่งเนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นการ
ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินการต่อสู้คดีปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนจากการกระทำอันไม่สุจริต
ของจำเลย จึงเป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลย
จึงต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งแก่โจทก์ 
ตามตาราง 6 และตาราง 7 ท้าย ป.วิ.พ.
	ส่วนการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการ
โอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับ ศ. นั้น การที่โจทก์ต้องทำเช่นนั้นจึงเป็นความเสีย
หายที่เป็นผลต่อเนื่องโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหาย
เป็นค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการ
โอนทรัพย์สินแก่โจทก์เช่นกัน
	ส่วนค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการนำเงินที่ได้จากการ
บังคับชำระหนี้ไปลงทุนนั้น เป็นค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาอยู่นอกเหนือเจตนา
ของจำเลย ถือว่าเป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินกว่าเหตุ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
-
รายละเอียด
	โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,050,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
	จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
	ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 232,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 เมษายน 2560) ไปจนกว่าจะ
ชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้
ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้
ให้ยก
	โจทก์อุทธรณ์
	ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้
เป็นพับ
	โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้
ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 5995/2551 ของศาลจังหวัดพระโขนง 
ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 1,100,000 บาท โดยวิธีผ่อนชำระ จำเลยไม่
ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม และได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับห้องชุดใน
อาคารชุดให้นางสาวศิริรัตน์เพื่อไม่ให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว 
โจทก์จึงฟ้องจำเลยและนางสาวศิริรัตน์ในความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้ต่อศาล
จังหวัดพระโขนง ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ให้จำคุก 1 ปี ศาล
อุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ยังฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอน
ทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริรัตน์ต่อศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้เพิกถอน
นิติกรรมการโอนทรัพย์สินดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยและ
นางสาวศิริรัตน์ ศาลฎีกาพิพากษายืน โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน
โฉนดที่ดินและจดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวกลับมาเป็นของจำเลย แล้วนำเจ้า
พนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด และได้เงินจากการขาย
ทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมครบ
ถ้วนแล้ว
	มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดอัน
เกิดจากการที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้นางสาวศิริรัตน์หรือไม่ เพียงใด 
โดยโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความใน
การดำเนินคดีอาญา ซึ่งโจทก์ขอลดทุนทรัพย์ลงเหลือเพียง 50,000 บาท ค่าใช้จ่าย
และค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่ง ซึ่งโจทก์ขอลดทุนทรัพย์ลงเหลือเพียง 
100,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอน
นิติกรรม 50,000 บาท และค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการนำเงินที่ได้
จากการบังคับชำระหนี้ไปลงทุน ซึ่งโจทก์ขอลดทุนทรัพย์ลงเหลือเพียง 300,000 บาท 
สำหรับค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีอาญาซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นการ
เสียหายแก่ทรัพย์สินนั้น เห็นว่า แม้การที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้นางสาว
ศิริรัตน์โดยประสงค์จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมบังคับ
ชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว เป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์
เสียหายแก่ทรัพย์สินก็ตาม แต่การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในความผิดฐาน
ร่วมกันโกงเจ้าหนี้ คงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อให้ศาลลงโทษจำเลยในทาง
อาญาเท่านั้น เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ก็หามีผลให้โจทก์สามารถบังคับ
ชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินที่จำเลยขายไปได้ไม่ อย่างไรก็ดี กรณีมิใช่ว่าหากโจทก์ไม่
ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยแล้ว โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่จำเลยขายไปไม่ได้
เลย การดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะดำเนินการหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น 
โจทก์จะอ้างว่าการที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สินให้นางสาวศิริรัตน์ทำให้โจทก์
ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาอันเป็นการเสียหายแก่ทรัพย์สินหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มี
สิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้
	ส่วนค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่ง กับค่าใช้จ่ายใน
การขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สิน
ระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริรัตน์นั้น เห็นว่า การที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ย่อมเป็น
เหตุให้โจทก์ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล อันเป็นการใช้สิทธิ
ตามกฎหมายเพื่อให้ทรัพย์สินที่จำเลยขายไปกลับมาเป็นของจำเลย และโจทก์จะได้
บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว การที่โจทก์จำต้องฟ้องคดีแพ่งจึงเป็นความเสีย
หายที่เป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่า
ใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งแก่โจทก์
	ส่วนการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการ
โอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริรัตน์ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องดำเนินการ
หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีแพ่งเพื่อให้ทรัพย์สินกลับมาเป็นของจำเลยทาง
ทะเบียนก่อนที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป การที่โจทก์ต้องทำเช่นนั้นจึงเป็น
ความเสียหายที่เป็นผลต่อเนื่องโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึงต้องใช้ค่า
เสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอน
นิติกรรมการโอนทรัพย์สินดังกล่าวแก่โจทก์เช่นกัน แต่ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์เสีย
ค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งเป็นเงิน 150,000 บาท กับค่าใช้จ่าย
ในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม การโอน
ทรัพย์สินเป็นเงิน 50,000 บาท นั้น เห็นว่า หนังสือยืนยันการรับเงินเป็นเพียงหลัก
ฐานที่ทนายโจทก์ทำขึ้นเพื่อแสดงว่าได้รับเงินดังกล่าวไปจากโจทก์ โดยไม่ได้แยก
แยะรายละเอียดค่าใช้จ่ายแต่ละรายการและค่าทนายความว่าเป็นอย่างไร ทั้งในชั้น
ฎีกาโจทก์ยังขอปรับลดค่าเสียหายในส่วนของค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการ
ดำเนินคดีแพ่งลงจาก 150,000 บาท เป็น 100,000 บาท โดยไม่ระบุเหตุผล ส่อแสดง
ว่าโจทก์กำหนดจำนวนค่าเสียหายเอาตามอำเภอใจ ประกอบกับการขอออกใบแทน
โฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินเป็นการดำเนินการ
ต่อหน่วยงานราชการ ซึ่งควรจะมีเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการนั้น แต่
โจทก์กลับไม่อ้างเป็นพยานหลักฐาน แม้ในชั้นฎีกาโจทก์ยังคงจำนวนค่าเสียหายใน
ส่วนของค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรม 
การโอนทรัพย์สินไว้ตามฟ้อง แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ได้วินิจฉัยมาก็ยังไม่อาจ
รับฟังว่า โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการต่าง ๆ ดังกล่าวรวมทั้งค่าทนายความเป็นจำนวน
ตามที่ขอมาในฎีกา เมื่อพิจารณาคำพิพากษาในคดีแพ่งโดยคำนึงถึงความยากง่ายแห่ง
คดี ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีตั้งแต่เริ่มต้นจนคดีถึงที่สุด ซึ่งไม่ปรากฏว่าโจทก์
หรือทนายโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์และฎีกาด้วยหรือไม่ ค่า
ทนายความที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้แทนโจทก์ รวมทั้งรายงานปิดประกาศเรื่องการ
ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้ว สมควรกำหนดค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนาย
ความในการดำเนินคดีแพ่ง 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน
และจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สิน 5,000 บาท
	ส่วนค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการนำเงินที่ได้จากการ
บังคับชำระหนี้ไปลงทุนนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาเพียง
ต้องการไม่ให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินที่ได้โอนไป ค่าเสียหายเป็นกำไร
ที่โจทก์เรียกร้องจึงอยู่นอกเหนือเจตนาของจำเลย ถือเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ 
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนนี้ รวมค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 
55,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของ
โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
	พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อย
ละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 เมษายน 2560) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่
โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้
ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท
-
(จักรกฤช เจริญเลิศ-ประสิทธิ์ เจริญถาวรโภคา-อนันต์ เสนคุ้ม)
องค์คณะผู้ตัดสิน

Leave a Reply