คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5161/2547-ขโมยข้อมูลที่ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5161/2547 ส่งเสริมตุลาการ คู่กรณี โจทก์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ร่วม บริษัทธรรมนิติ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำเลย นายดนู พันธ์ทองหรือพันธ์ทอง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ -
ข้อมูลย่อ ข้อมูลตามพจนานุกรมให้ความหมายว่า “ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่า เป็นข้อเท็จจริงสำหรับใช้เป็นหลักอนุมานหาความจริงหรือการคำนวณ” ส่วนข้อเท็จจริง หมายความว่า “ข้อความแห่งเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือที่เป็นอยู่ตามจริงข้อความหรือเหตุการณ์ ที่จะต้องวินิจฉัยว่าเท็จหรือจริง” ดังนั้น ข้อมูลจึงไม่นับเป็นวัตถุมีรูปร่าง สำหรับตัวอักษร ภาพแผนผัง และตราสารเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดความหมายของข้อมูลออกจาก แผ่นบันทึกข้อมูลโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มิใช่รูปร่างของข้อมูล เมื่อ ป.พ.พ.มาตรา137 บัญญัติว่า ทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง ข้อมูลในแผ่นบันทึกข้อมูลจึงไม่ถือเป็นทรัพย์ การที่จำเลยนำแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าลอกข้อมูลจากแผ่นบันทึกข้อมูลของโจทก์ร่วม จึงไม่ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ - รายละเอียด โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา1 มาตรา 188, 335, 357, 91 คืนแผ่นบันทึกข้อมูลและเอกสารแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา บริษัทธรรมนิติ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนแผ่นบันทึกข้อมูลและเอกสารให้โจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ร่วมฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งรับฟังได้ ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นพนักงานแผนกต่างประเทศของโจทก์ร่วม มีหน้าที่เตรียม เอกสารคำขอใบอนุญาตติดต่อหน่วยราชการ ติดต่อประสานงานกับลูกค้าต่างประเทศ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยนำเอกสาร จำนวนประมาณ 400 แผ่น ตามเอกสารหมาย จ.3 จากสำนักงานโจทก์ร่วมไปไว้ที่บ้านจำเลยเพื่อทำงานให้แก่ โจทก์ร่วม กับนำแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าลอกข้อมูลในการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ของ โจทก์ร่วมจากแผ่นบันทึกข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ร่วม จำนวนรวม 41 แผ่น มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานเอาไปเสียซึงเอกสารในประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่โจทก์ร่วมหรือผู้อื่นนั้น โจทก์ร่วมฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีระเบียบห้ามนำ เอกสารออกนอกที่ทำการ แม้จะไม่ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาดตามระเบียบนั้น แต่มิได้ หมายความว่า เมื่อพนักงานนำงานออกจากที่ทำการของโจทก์ร่วมไปทำต่อที่บ้านแล้ว พนักงานไม่จำต้องนำเอกสารทีเหลือหรือมิได้ใช้งานแล้วมาคืนโจทก์ร่วม การที่จำเลย ทำงานเสร็จแล้วกลับไม่นำเอกสารที่เกี่ยวข้องมาคืนเพื่อส่งคืนลูกค้า เป็นการทำให้ โจทก์ร่วมเสียหายแล้ว เพราะเอกสารส่วนหนึ่งเป็นความลับของลูกค้า เห็นว่า ตามคำเบิก ความของนางจิตติมา โสตถิพันธุ์พนักงานโจทก์ร่วม ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศ ได้ความว่า เอกสารหมาย จ.3 ซึ่งลูกค้าส่งมาให้โจทก์ร่วมนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูล เกี่ยวกับหนังสือรับรองของบริษัท บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น งบบัญชีกำไรขาดทุน และ สำเนาหนังสือเดินทาง เอกสารดังกล่าวจึงล้วนเป็นเอกสารที่บุคคลสามารถไปขอ ตรวจสอบและขอคัดสำเนาได้จากกรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ จึงไม่ถือเป็น ความลับของบริษัทลกค้าโจทก์ร่วมอันต้องปกปิด ดังนั้น การที่จำเลยใช้เอกสาร ดังกล่าวปฏิบัติในหน้าทีให้แก่โจทก์ร่วมเสร็จแล้วไม่นำกลับคืนแก่โจทก์ร่วมจึงไม่น่า จะเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหรือลูกค้าของโจทก์ร่วมต้องเสียหาย การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่โจทก์ร่วมหรือผู้อื่น ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมต่อไปว่า การที่จำเลยนำแผ่นบันทึกข้อมูล เปล่าลอกข้อมูลจากแผ่นบันทึกข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ร่วม เป็น ความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โจทก์ร่วมฎีกาว่า ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ ร่วมมีรูปร่างเป็นตัวอักษร ภาพ แผนผัง และตราสาร จึงเป็นทรัพย์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 การที่จำเลยเอาข้อมูลของโจทก์ร่วมดังกล่าวไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เห็นว่า ข้อมูลตามพจนานุกรมให้ความหมายว่า "ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมาน หาความจริงหรือการคำนวณ" ส่วนข้อเท็จจริงหมายความว่า "ข้อความแห่งเหตุการณ์ ที่เป็นมาหรือที่เป็นอยู่ตามจริงข้อความหรือเหตุการณ์ที่จะต้องวินิจฉัยว่าเท็จหรือจริง" ดังนั้น ข้อมูลจึงไม่นับเป็นวัตถุมีรูปร่าง สำหรับตัวอักษรภาพ แผนผัง และตราสาร เป็นเพียงสัญลักษณ์ทีถ่ายทอดความหมายของข้อมูลออกจากแผ่นบันทึกข้อมูล โดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ มิใช่รูปร่างของข้อมูล เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 137 บัญญัติว่าทรัพย์ หมายความว่า วัตถุมีรูปร่าง ข้อมูลในแผ่น บันทึกข้อมูลจึงไม่ถือเป็นทรัพย์ การที่จำเลยนำแผ่นบันทึกข้อมูลเปล่าลอกข้อมูลจาก แผ่นบันทึกข้อมลของโจทก์ร่วม จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ศาลล่าง ทั้งสองพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมทุกข้อฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน
–
หมายเหตุ
ท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า ตาม ป.อ. มาตรา 334 ใช้คำว่า
เอาทรัพย์ของผู้อื่น ฯลฯ ไปฯลฯ ตราบใดที่ยังไม่มีบทกฎหมายเฉพาะสำหรับเรื่องกระแส
ไฟฟ้า ศาลก็ต้องตีความคำว่า "ทรัพย์" ว่าหมายความถึงกระแสไฟฟ้าด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2501.
ตัดสินว่า การลักกระแสไฟฟ้าย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334 หรือ 335
แล้วแต่กรณี และศาลฎีกาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6384/2547 ตัดสินยืน
ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์1ภาค 7 ในข้อที่ว่า จำเลยลักคลื่นสัญญาณโทรศัพท์จาก
สายสัญญาณและตู้โทรศัพท์สาธารณ ะของผู้เสียหายไปโดย ทุจริต
ท่านอาจารย์จิตติ อธิบายต่อไปว่า ทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างจับต้องไม่ได้ เช่น
สิทธิเรียกร้องลิขสิทธิ์ สิทธิในเครื่องหมายการค้า สิทธิในการประดิษฐ์หรือสิทธิในชื่อ
การค้า ฯลฯ ไม่เป็นสิ่งที่ลักได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่กำลังบันทึกหมายเหตุอยู่นี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลัก
ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ร่วม จำพวกที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการแปลเอกสารและ
แบบร่างสัญญาภาษาอังกฤษ โดยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยนำเอาแผ่น
บันทึกข้อมูลเปล่าขอ่งจำเลยเองมาคัดลอกข้อมูลดังกล่าวจากแผ่นบันทึกข้อมูล
ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของโจทก์ร่วม
น่าสังเกตว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยลักแผ่นบัน 2 ทึกข้อมูลของโจทก์ร่วมไป
ซึ่งแน่นอนว่าตัวแผ่นบันทึกข้อมูลนั้นย่อมเป็นทรัพย์ เป็นวัตถุมีรูปร่าง จับต้องได้ และ
ย่อมเป็นสิ่งที่ลักเอาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อสิ่งที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าลักไปในคดีนี้คือ ข้อมูล จึงมีปัญหาที่
ศาลฎีกาต้องวางหลักการอีกครั้งว่า ข้อมูล เป็นวัตถุมีรูปร่างที่ลักได้หรือไม่
ข้อมูลในคดีนอกจากจะเป็นข้อเท็จจริงแล้วยังมีลักษณะเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
อีกด้วย พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 254 4 ได้นิยามว่า
หมายความว่า ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือประมวลผลด้วยวิธีการทาง
อิเล็กทรอนิกส์เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร ซึ่งหากข้อมูลที่อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้น
ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของเอกสาร แล้วจำเลยเอาเอกสารเหล่านั้นไปเสีย ก็น่าคิดว่า
จะเป็นการลักทรัพย์ที่เป็นเอกสารหรือเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสาร
มีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งอันสืบเนื่องมาจาก พ.ร.บ. ความลับทางการค้า
พ.ศ. 2545ซึ่งได้นิยามความหมายของ "ความลับทางการค้า"ว่าหมายความว่า ข้อมูล
การค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือยังเข้าถึงไม่ได้ในหมู่บุคคลซึ่งโดยปกติแล้วต้อง
เกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าวโดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากการ
เป็นความลับ และเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการที่เหมาะสม
เพื่อรักษาไว้เป็นความลับ โดยข้อมูลการค้าที่จะเป็นความลับทางการค้านั้น
หมายความว่า เป็นสิ่งที่สื่อความหมายให้รู้ข้อความ เรื่องราว ข้อเท็จจริง หรือสิ่งใด
ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะผ่านวิธีการใด ๆ และไม่ว่าจะจัดทำไว้ในรูปใด ๆ และ
ให้หมายความรวมถึงสูตรรูปแบบ งานที่ได้รวบรวมหรือประกอบขึ้น โปรแกรม วิธีการ
เทคนิค หรือกรรมวิธีด้วย และในมาตรา 6 ได้บัญญัติว่า การละเมิดสิทธิในความลับ
ทางการค้าตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ การกระทำที่เป็นการเปิดเผย เอาไป หรือใช้
ซึ่งความลับทางการค้าโดยไม่ไต้รับความยินยอมจากเจ้าของความลับทางการค้านั้น
อันมีลักษณะขัดต่อแนวทางปฏิบัติในเชิงพาณิชย์ที่สุจริตต่อกัน ทั้งนี้ ผู้ละเมิด
จะต้องรู้หรือมี เหตุอันควรรู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อแนวทางปฏิบัติเช่นว่านั้น
และการกระทำที่มีลักษณะขัดต่อแนวทางปฏิบัติในเชิงพาณิชย์ที่สุจริตต่อกัน
หมายความรวมถึงการผิดสัญญา การละเมิดหรือการกระทำในประการที่เป็นการูจงใจให้ละเมิด
ความลับอันเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน การติดสินบน การข่มขู่ การฉ้อโกง การลักทรัพย์
การรับของโจร หรือการจารกรรมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีการอื่นใดด้วย
จากบทบัญญัติดังกล่าวดูประหนึ่งว่าหากข้อมูลในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ฉบับนี้เป็นความลับทางการค้าแล้ว ก็สามารถที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ได้
ตามกฎหมายอังกฤษ The Theft Act 1968 ศาลอังกฤษยังคงถือว่าความลับ
ทางการค้า (Trade secrets or Confidential Information) ไม่สามารถเป็นวัตถุแห่ง
การลักเอาไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลอันเป็นความลับนั้นไม่ใช่ทรัพย์สิน (property)
ตามความมุ่งหมายของ The Theft Act เหตุผลหนึ่งคงเพราะแม้ความลับทางการค้าจะจัด
ว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ในประเภททรัพย์สินทางปัญญาแต่เป็นการจัดให้เป็น
เช่นนั้นเพื่อประโยชน์ในการให้ความคุ้มครองทางแพ่งแก่ความลับทางการค้าอันเป็น
แนวความคิดในการส่งเสริมและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงเศรษฐกิจและ
อุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกาเองได้ใช้กฎหมายเฉพาะ (Theft and Larcery
Statutes) ในการพิจารณาว่าข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้านั้นสามารถเป็นความผิด
ฐานลักทรัพย์ได้
สำหรับประเทศไทยนั้นดังได้กล่าวแล้วว่า พ.ร.บ. ความลับทางการค้า
พ.ศ. 2545 มาตรา 6 บัญญัติเป็นทำนองประหนึ่งว่าข้อมูลอันเป็น ความลับทางการค้า
นั้นสามารถเป็นวัตถุแห่งการลักทรัพย์ได้ ในขณะที่ศาลฎีกาเองโดยคำพิพากษา
ศาลฎีกาฉบับนี้ เนื่องจากไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานะของข้อมูลว่าเป็น
ความลับทางการค้าหรือไม่ จึงยังไม่อาจคาดหมายได้ว่า หากสิ่งที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลย
ลักเอาไปเป็นข้อมูลอันเป็นความลับทางการค้า ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าอย่างไร
–
อนุชัย สิราริยกุล -
(โนรี จันทร์ทร - ทวีวัฒน์ แดงทองดี - จิระ โชติพงศ์) องค์คณะผู้ตัดสิน
Advancedlaw
เม.ย. 4, 2023, 12:03 amกรณีตามคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ หากมีข้อเท็จจริงหรือตั้งรูปเรื่องฟ้องคดีที่แตกต่างออกไป อาจทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น ตามหมายเหตุท้ายฎีกาฉบับนี้ ผู้หมายเหตุ อาจารย์อนุชัย สิราริยกุล ได้ตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นกฎหมายความลับทางการค้าผลเป็นอย่างไร
ในความเห็นของผู้เขียน เห็นว่า หากนำสืบได้ว่าข้อมูลได้มีการจัดทำรายละเอียดอย่างเป็นระบบและมีข้อมูลอื่นที่บริษัทจัดทำขึ้น เช่น ประวัติการชำระเงิน ปริมาณการซื้อขาย ย่อมเป็นข้อมูลที่ถือเป็นทรัพย์สินของบริษัท อันจะทำให้ผู้ลักข้อมูลอาจมีความผิด และทางแก้ของผู้บริหารบริษัทสามารถใช้วิธีชั้นความลับของการเข้าถึงข้อมูล การออกข้อบังคับในการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลบริษัท จะทำให้ความผิดตามกรณีศึกษานี้ต้องรับโทษทั้งทางแพ่งและอาญาได้
–
ดร.พิชัย โชติชัยพร
ผู้หมายเหตุ
ดร.พิชัย โชติชัยพร (Notarial Services Attorney)
Tel./Line 0862310999
–
Admin และเจ้าของเว็บไซต์
http://www.advancedlaw9.com