กันยายน 7, 2020 In คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2562-การจะถือว่าเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์ในคดียาเสพติด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2562
กองผู้ช่วยฯ
	คู่กรณี
โจทก์
        	พนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานี
จำเลย
        	นายสิทธิญาหรือโต้ง แสนทวีสุข
-		
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง	
	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
	มาตรา 15
        	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 
	มาตรา 225
        	พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 
	มาตรา 15
        	พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พุทธศักราช 2550 
	มาตรา 3
-
ข้อมูลย่อ
    	แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ให้อำนาจศาลลงโทษผู้กระทำความผิด
เกี่ยวกับยาเสพติดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิด
เกี่ยวกับยาเสพติดจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้
ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่ามีการนำสืบกันมาแล้วในศาล
ชั้นต้นตามประเด็นแห่งคดี
    	จำเลยมิได้ยื่นคำร้องหรือแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์
อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้น
อุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จนสามารถขยายผลจับกุมผู้กระทำความ
ผิดพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 2,000 เม็ด แต่เมื่อจำเลยไม่สืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้ข้อ
เท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ไม่เคยเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบกันไว้ แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าว
จะปรากฏตามสำเนาบันทึกจับกุมเอกสารท้ายคำร้องขอฝากขัง ครั้งที่ 1 ก็ตาม เมื่อโจทก์และจำเลยไม่เคย
นำสืบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ในศาลชั้นต้น แต่เป็นข้อที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ถือไม่ได้ว่าข้อ
เท็จจริงนี้ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 
ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
-
รายละเอียด
    	โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 
15, 66, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง เพิ่มโทษ
จำเลยกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย
    	จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุ
ขอให้เพิ่มโทษ
   	 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 
15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง จำคุก 20 ปี และปรับ 900,000 บาท เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยา
เสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 30 ปี และปรับ 1,350,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ
เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 
คงจำคุก 15 ปี และปรับ 675,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 
ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
    	จำเลยอุทธรณ์
    	ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้ไม่เกิน 1 ปี
    	จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
    	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและ
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงาน
ตำรวจ อันจะเป็นเหตุให้สมควรใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับ
ความผิดนั้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยมิได้ยื่นคำร้องหรือแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญ
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ข้อเท็จจริงที่จำเลยยก
ขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จนสามารถขยายผลจับกุมผู้
กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนได้อีก 2,000 เม็ด แต่เมื่อจำเลยไม่สืบพยานให้
ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ไม่เคยเป็นข้อเท็จจริงที่คู่
ความนำสืบกันไว้ แม้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ที่ให้อำนาจศาลลง
โทษผู้กระทำความผิดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความ
ผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบ
ร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่
ปรากฏว่ามีการนำสืบกันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประเด็นแห่งคดี แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะปรากฏตาม
สำเนาบันทึกจับกุมเอกสารท้ายคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ก็ตาม เมื่อได้ความว่าโจทก์จำเลยไม่เคยนำสืบข้อ
เท็จจริงในเรื่องนี้ไว้แล้วในศาลชั้นต้น แต่เป็นข้อที่จำเลยเพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ก็ถือไม่ได้ว่าข้อ
เท็จจริงนี้ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และพระราช
บัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็น
พ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
    	พิพากษายืน
-
(ชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ - เฉลิมชัย ศรีเลิศชัยพาณิช - วิชิต ลีธรรมชโย)
องค์คณะผู้ตัดสิน

Leave a Reply