กันยายน 7, 2020 In คำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2563-ผลของการบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2563
กองผู้ช่วยฯ
	คู่กรณี
โจทก์
	พนักงานอัยการจังหวัดกบินทร์บุรี
จำเลย
	นาย ม.
-
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
	ประมวลกฎหมายอาญา 
	มาตรา 365 (1)
	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 
	มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
	มาตรา 195 วรรคสอง
	มาตรา 225
-
ข้อมูลย่อ
	โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดย
ไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงองค์ประกอบ
ความผิดว่าจำเลยกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย 
แม้โจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลย
ตามมาตรา 365 (1) ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้
เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 
195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
-
รายละเอียด
	โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดย
ไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงองค์ประกอบ
ความผิดว่าจำเลยกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย 
แม้โจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลย
ตามมาตรา 365 (1) ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้
เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 
195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
	โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 
364, 365
	จำเลยให้การปฏิเสธ
	ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
	โจทก์อุทธรณ์
	ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 365 (1) (3) 
ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย
หลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา 
มาตรา 277 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี
	จำเลยฎีกา
	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติ
ได้ว่า ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง จ. ผู้เสียหาย อายุ 12 ปีเศษ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 
นาง ผ. ย่าผู้เสียหายพาผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวน 
สถานีตำรวจภูธรวังตะเคียน ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาบุกรุกเคหสถานและ
กระทำชำเราผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 3 
นาฬิกา ขณะผู้เสียหายนอนอยู่ในบ้านตามลำพัง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหาย
ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลกบินทร์บุรี หลังจากนั้นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 
2561 พนักงานสอบสวนขออนุมัติออกหมายจับจำเลย และจับกุมจำเลยได้ในวัน
เดียวกัน พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาแก่จำเลยเป็นคดีนี้
	มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำ
พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยาน
เพียงปากเดียว แต่ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุ 12 ปีเศษ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับ
จำเลยมาก่อน เบิกความถึงพฤติการณ์ขณะถูกจำเลยพยายามข่มขืนกระทำชำเราอย่าง
เป็นขั้นตอน มีรายละเอียดตั้งแต่ช่องทางที่จำเลยปีนเข้ามาในบ้าน พฤติการณ์ที่ล่วง
ละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย จนกระทั่งการหลบหนีของจำเลยหลังเกิดเหตุเป็นลำดับ 
ยากแก่การที่จะปรุงแต่งขึ้นหากมิได้เกิดขึ้นจริง ทั้งเป็นการผิดปกติวิสัยที่เด็กหญิง
จะปั้นแต่งเรื่องที่ถูกชายพยายามข่มขืนกระทำชำเราเพราะจะเป็นที่เสื่อมเสียต่อชื่อ
เสียงของตนอย่างร้ายแรง ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เสียหายไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นให้บุคคลใดฟังทันที แต่เพิ่งมาเล่าเมื่อจะต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง อันน่าจะมีสาเหตุ
มาจากความกลัวว่าจำเลยจะอาศัยโอกาสที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่บ้านบุกรุกเข้ามากระทำ
ชำเราผู้เสียหายอีก จึงเพิ่งตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ย่ากับลุงฟัง แสดงให้
เห็นถึงความคิดตามประสาเด็กที่ยังอ่อนวัยและต้องการให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยในการ
แก้ปัญหา ไม่ถึงกับเป็นข้อพิรุธ ส่วนที่คำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นศาลแตกต่าง
จากคำให้การในชั้นสอบสวนไปบ้างก็เป็นเพียงประเด็นรายละเอียดปลีกย่อยใน
เรื่องที่ไม่สำคัญ ไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของผู้เสียหายลดน้อยลง เชื่อได้ว่าผู้
เสียหายเบิกความตามความจริง ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่แบตเตอรี่ใกล้
หมดย่อมไม่มีแสงสว่างนานถึง 15 นาที ทั้งบ้านที่เกิดเหตุมีต้นไม้ล้อมรอบ อยู่ห่าง
จากบ้านของบุคคลอื่นประมาณ 300 ถึง 500 เมตร และถนนหน้าบ้านไม่มีไฟฟ้า 
ย่อมไม่มีแสงสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นหน้าคนร้ายได้ นั้น ในข้อนี้นอกจากจะเป็น
ข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้นำสืบ แต่เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาแล้ว เมื่อพิจารณา
จากลักษณะของบ้านที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าเป็นบ้านชั้นเดียวมีช่องของอิฐบล็อกที่ผนัง
และมีช่องลมบนเพดานใต้หลังคาค่อนข้างห่างเป็นช่องว่างขนาดใหญ่แสงสว่าง
สามารถส่องผ่านเข้าไปได้ สอดคล้องกับที่ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวน
พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเบิกความยืนยันว่า ภายหลังรับแจ้งความ วันที่ 2 
กุมภาพันธ์ 2561 เวลากลางคืน พยานเดินทางไปตรวจบ้านที่เกิดเหตุ ได้ทดสอบปิด
ไฟภายในบ้านทั้งหมดแล้วเข้าไปอยู่ในห้องนอนพบว่ามีแสงสว่างจากหลอดไฟ
ของบ้านฝั่งตรงข้ามส่องสว่างเข้ามาภายในห้องสามารถมองเห็นใบหน้ากันได้ 
พยานโจทก์ปากนี้เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ และไม่
ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้น่าระแวงสงสัยว่าจะ
เบิกความอันเป็นเท็จขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษจึงมีน้ำหนักแก่การรับฟัง 
เชื่อว่าขณะเกิดเหตุนอกจากแสงสว่างจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่ทำให้
มองเห็นหน้าคนร้ายในครั้งแรกแล้ว ยังมีแสงสว่างจากหลอดไฟของบ้านฝั่งตรง
ข้ามส่องสว่างเข้ามาในบ้านที่เกิดเหตุ นอกจากนั้นคืนเกิดเหตุเป็นคืนข้างขึ้น 14 ค่ำ 
เดือนสาม ปีระกา ตามสูตรสำเร็จเวลาดวงจันทร์ขึ้นจากพื้นพิภพ ดวงจันทร์ขึ้นเวลา 
17.12 นาฬิกา จึงมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ช่วยให้มองเห็นหน้าคนร้ายดังที่ผู้เสียหาย
เล่าให้นาง ผ. ฟังด้วย แม้ความสว่างที่ส่องเข้ามาภายในบ้านอาจจะไม่มากนัก แต่ผู้
เสียหายเคยเห็นจำเลยมาก่อนเนื่องจากเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน บ้านอยู่ห่างกัน
เพียงประมาณ 150 เมตร และขณะเกิดเหตุก็เห็นจำเลยในระยะใกล้เป็นเวลานานพอ
สมควร เชื่อว่าผู้เสียหายเห็นและจำจำเลยได้ไม่ผิดตัว ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความ
ของผู้เสียหายขัดแย้งกับรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผล เพราะไม่พบเยื่อ
พรหมจารีฉีกขาดและไม่พบบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศนั้น ในชั้นสอบสวนผู้เสีย
หายให้การไว้ชัดเจนว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยใช้อวัยวะเพศที่แข็งตัวทิ่มบริเวณอวัยวะ
เพศของผู้เสียหายอยู่หลายครั้ง แต่ล่วงล้ำเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยประมาณ 2 
เซนติเมตร โดยนาง ผ. ให้การในส่วนนี้ไว้ว่า เมื่อนาง ผ. สอบถามผู้เสียหายว่าหนู
เสียตัวให้เขาหรือเปล่า ผู้เสียหายตอบว่าไม่เสียเพราะของหนูเล็ก ของมันใหญ่ เข้า
ได้นิดหนึ่งประมาณ 2 เซนติเมตร ดังนี้ จะเห็นได้ว่าคำให้การของผู้เสียหายและนาง 
ผ. มีสาระสำคัญสอดคล้องกันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อวัยวะเพศของตนที่แข็ง
ตัวพยายามสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายเพื่อกระทำชำเราจริง แต่เหตุที่
ไม่สามารถสอดใส่เข้าไปได้สำเร็จเนื่องจากผู้เสียหายเป็นเด็ก อวัยวะเพศมีขนาดเล็ก 
จำเลยจึงหยุดกระทำต่อ ดังนั้น การที่หลังเกิดเหตุ 2 วัน แพทย์ตรวจไม่พบเยื่อ
พรหมจารีฉีกขาดและไม่พบบาดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศของผู้เสียหายจึงไม่ถึงกับ
เป็นข้อพิรุธจนทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายรับฟังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยนำสืบและ
ฎีกาอ้างฐานที่อยู่นั้น คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยกับพยานจำเลยเพียงลอย ๆ ไม่มี
พยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้น่าเชื่อถือ อีกทั้งไม่ปรากฏว่าพยานจำเลยเคยไป
ให้การในชั้นสอบสวน จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จ
จริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกและพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสีย
หาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีไม่จำต้อง
วินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้อปลีกย่อยอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกา
ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 
2561 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสีย
หายโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงองค์
ประกอบความผิดว่าจำเลยกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง
ประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) แม้โจทก์มีคำขอให้ลง
โทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษา
ลงโทษจำเลยตามมาตรา 365 (1) ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่
เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามี
อำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
	อนึ่ง ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่ม
เติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 ออกใช้บังคับ โดยมาตรา 5 ให้ยก
เลิกความในมาตรา 277 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่แทน แต่
กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่
ใช้ขณะกระทำความผิด
	พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 
365 (1) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
-
(พิชัย เพ็งผ่อง-อธิคม อินทุภูติ-จรัญ เนาวพนานนท์)
องค์คณะผู้ตัดสิน

Leave a Reply