คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2563
กองผู้ช่วยฯ
คู่กรณี
โจทก์
นาง ป.
จำเลย
นาย ณ. กับพวก
-
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง
-
ข้อมูลย่อ
โจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็น
บ้านเล็กๆ มีแต่หลังคาแต่ไม่มีฝาบ้านมาในระหว่างสมรส และใช้เงินสินส่วนตัวของ
โจทก์ในการก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาทของโจทก์
แม้เป็นการก่อสร้างในระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันก็จะถือว่าบ้าน
พิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มาระหว่างสมรสหาได้ไม่ บ้านพิพาท
ย่อมเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจ
ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้
-
รายละเอียด
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจาก
ที่ดินและบ้านของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินและบ้านคืนโจทก์ในสภาพ
เรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่า
เสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออก
จากที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินตามใบจอง
(น.ส. 2) เล่มที่ 12 หน้า 94 สารบบเลขที่ 212 หมู่ที่ 2 ตำบลห้วงน้ำขาว อำเภอเมือง
ตราด จังหวัดตราด และบ้านเลขที่ 47/1 ตำบลห้วงน้ำขาว อำเภอเมืองตราด จังหวัด
ตราด ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินและบ้านพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและ
ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท
นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 ธันวาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและ
บริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน
ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ค่าใช้จ่ายใน
การดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้น
อุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการขาย
เสื้อผ้าสำเร็จรูป และกิจการให้เช่าพระเครื่อง พระบูชา ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเทศบาล
เมืองตราด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินส่วนหนึ่งตามใบจอง
เล่มที่ 12 หน้า 94 สารบบเลขที่ 212 เนื้อที่ 15 ไร่ พร้อมบ้าน จากนางธัญกมล ราคา
630,000 บาท ชำระเงินครบถ้วนและได้รับมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านใน
วันทำสัญญา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกัน
จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 กับภริยาคนก่อน โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ต่อศาล
เยาวชนและครอบครัวจังหวัดตราด คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ให้ยกฟ้องโจทก์ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทด้วยเงินส่วน
ตัวของโจทก์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์โดยแท้ จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา
โต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจ
ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ โจทก์อ้าง
ตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินพิพาทที่ซื้อจากนางธัญกมลมีบ้านหลังเล็ก ๆ เลขที่
47/1 ซึ่งมีแต่หลังคาและพื้นบ้านกว้างประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 6 เมตร แต่ไม่มี
ฝาบ้าน เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 พยานมอบหมายให้จำเลยที่ 1 ไปติดต่อว่าจ้างนายธง
ชัย ผู้รับเหมาให้มาก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาท
เป็นค่าแรง 190,000 บาท และค่าวัสดุก่อสร้าง 700,000 บาท บ้านสร้างเสร็จเดือน
กันยายน 2556 ส่วนโรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำสร้างเสร็จเดือนมกราคม 2557
พยานเป็นผู้ชำระเงินทั้งหมดให้แก่นายธงชัย โดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร
กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และมีนายธงชัย เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า โจทก์
ให้จำเลยที่ 1 ติดต่อว่าจ้างพยานไปก่อสร้างบ้านในที่ดินพิพาท พยานคิดค่าแรง 70,000
บาท สร้างเสร็จประมาณวันที่ 27 กันยายน 2556 และเดือนธันวาคม 2556 พยานได้
สร้างโรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำให้โจทก์ ค่าแรง 120,000 บาท สร้างเสร็จ
เดือนมกราคม 2557 พยานได้รับเงินค่าจ้างทั้งหมดจากโจทก์สอดคล้องกับคำเบิก
ความของโจทก์ที่ยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อวัสดุก่อสร้างและชำระเงินค่าจ้างก่อสร้าง
บ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำทั้งหมดให้แก่นายธงชัย โดยถอนเงินจาก
บัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากส่วนตัวของ
โจทก์ ทั้งจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า เงินที่นำมาซื้อที่ดิน
พิพาทและก่อสร้างบ้านเป็นเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ซึ่งเปิดไว้ก่อนที่โจทก์จะ
มาอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 และโจทก์เป็นผู้มีสิทธิเบิกถอนเงินจากบัญชีดัง
กล่าวเพียงผู้เดียว แสดงว่านอกจากโจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ที่มีมาก่อนจด
ทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ยังใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์
ก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำด้วย จำเลยทั้งสองคงมีแต่คำเบิก
ความของจำเลยที่ 1 เพียงลอย ๆ ว่า เงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ดังกล่าวเป็นเงินที่
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกัน โดยจำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใด
มาสนับสนุน จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าถมดิน ปลูกบ้าน สร้างคอกวัว
และทำคันรอบบ่อเลี้ยงปลาเป็นเงินกว่า 3,000,000 บาท ดังที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้
ยิ่งกว่านั้นยังได้ความจากจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านอีกว่า ก่อนอยู่
กินฉันสามีภริยากับโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ
เกษตร 100,000 กว่าบาท เป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำ
พิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 59/2556 ของศาลชั้นต้น 400,000 บาท
และเป็นหนี้อื่น ๆ อีกประมาณ 800,000 บาท รวมเป็นหนี้กว่า 1,300,000 บาท จึงไม่
น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะมีฐานะการเงินพอที่จะปลูกสร้างบ้านพิพาทได้ โจทก์มีพยาน
บุคคลและพยานเอกสารประกอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของ
จำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ก่อสร้างบ้าน โรง
จอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาทของโจทก์ แม้เป็นการก่อสร้างใน
ระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันก็จะถือว่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มาระหว่างสมรสหาได้ไม่ บ้านพิพาทย่อมเป็นสินส่วนตัวของ
โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมี
อำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้ ที่ศาล
อุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกา
ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชา
ธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ
-
(กิจชัย จิตธารารักษ์-สุทิน นาคพงศ์-สิริกานต์ มีจุล)
องค์คณะผู้ตัดสิน
Leave a Reply